ชาวบ้าน ต.บางระจัน เดือดร้อนหนักจากการถมดิน ทับคูคลอง ปิดทางน้ำ ทำนาไม่ได้

 

7 พ.ย. 2564 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวนาหมู่ที่ 9 ต.บางระจัน อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี ว่า ได้รับความเดือดร้อนจากการถมที่ดิน ซึ่งถมทับลงไปในคูคลองส่งน้ำที่ใช้ทำนากันมาหลายสิบปี คูคลองแห่งนี้ได้ถูกขุดขึ้นมาไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีที่แล้ว โดยขุดเป็นคูคลองเลียบไปกับถนนสาธารณะ เพื่อเป็นเส้นทางน้ำใช้ในการทำการเกษตร และการอุปโภค ซึ่งทางหน่วยงานราชการได้ปรับปรุงพัฒนามาตลอด รวมถึงเทปูนดาดคลองเส้นนี้ด้วย ต่อมาเมื่อไม่นานมานี้คูคลองดังกล่าวได้ถูกเจ้าของที่ถมดินทับ จนน้ำไม่สามารถไหลผ่านไปมาได้ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านและชาวนาที่ต้องอาศัยคลองแห่งนี้ นอกจากนี้การถมที่ยังรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของผู้อื่น ซึ่งได้ถูกเจ้าของที่ดินคัดค้านและอยู่ในระหว่างการยื่นเรื่องดำเนินคดี และยังมีการฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าหน้าที่ อบต. ที่ให้หยุดการก่อสร้างรั้ว ซึ่งทาง อบต.ยังไม่ได้อนุญาตให้ก่อสร้าง แต่ทางเจ้าของที่ดินได้ฝ่าฝืนดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ

นายเชาว์ ทรัพย์สม ตัวแทนผู้ได้รับอำนาจจากเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดกัน กล่าวว่า ที่ดินที่เกิดข้อพิพาทกันนี้เป็นของคุณหมอท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลใน จ.สิงห์บุรี ได้ซื้อเอาไว้ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2513 ต่อมาได้ยกให้ลูก และได้ปล่อยให้ชาวบ้านเช่าทำกิน ซึ่งผู้เช่าก็ได้ขุดคูน้ำขึ้นมารอบ ๆ ที่ดิน เพื่อรับน้ำต่อจากคลองมาใช้ในการเกษตร สำหรับการขุดคูนั้นได้ขุดในที่ดินของตัวเองและได้มีการปักหลักเขตเอาไว้ด้วยในตอนนั้น การขุดคูน้ำในตอนนั้นเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดกันก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะขุดในที่ของตนเอง แต่ต่อมาเจ้าของที่ดินติดกันได้เสียชีวิตลง และที่ดินได้ตกทอดมาถึงทายาท และได้มีการถมที่รุกล้ำเข้ามา โดยได้ถอนหลักที่ปักเป็นแนวเขตออกแล้วเอามาวางทิ้งไว้ข้างที่และได้ทำรั้วลวดหนามล้อมที่ลงมาในคู ตนเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเจ้าของที่ดินที่มีข้อพิพาทกันได้ขอรังวัดที่ดิน จึงได้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดิน และได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยแต่ตกลงกันไม่ได้ จึงต้องรวบรวมหลักฐานส่งฟ้องศาล สำหรับที่ดินทั้งหมดในบริเวณนี้ได้ให้ชาวบ้านได้เช่าใช้ประโยชน์ทำกิน น้ำที่ใช้ในการทำการเกษตรก็มาจากคูคลองที่ถูกถมทับไป เนื่องจากที่ดินแปลงนี้ อยู่ถัดมาจากที่ดินที่เกิดข้อพิพาทกันอยู่นี้ นายธรรมศักดิ์ สังข์ทอง เจ้าของที่นา ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกถมดินทับคูคลองในครั้งนี้กล่าวว่า ใช้น้ำจากคูคลองแห่งนี้มานานกว่า 40 ปีแล้วชาวบ้านแถบนี้ทั้งหมดกว่าครึ่งหมู่บ้าน รวมถึงที่ว่าการอำเภอ ค่ายบางระจัน และสถานีตำรวจภูธรอำเภอค่ายบางระจัน ก็ต้องอาศัยคูคลองแห่งนี้เป็นที่ระบายน้ำในฤดูฝน ถ้าคูคลองนี้ถูกถมทับแบบนี้น้ำไม่มีที่ระบายท่วมแน่ ๆ ส่วนชาวนานั้นจะไม่มีน้ำทำการเกษตรเลย จะระบายออกก็ไม่ได้ จะรับน้ำเข้ามาก็ไม่ได้เดือดร้อนกันมาก พื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเดือดร้อนมีไม่ต่ำกว่า 500 ไร่

นายสุนทร อ่อนสะอาด ผู้เช่าที่ทำนา กล่าวว่า ได้เช่าที่นาแปลงนี้ทำนามาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2530 ปรับปรุงพื้นที่นาเองทั้งหมด น้ำที่ใช้ทำการเกษตรก็ได้จากคูคลองแห่งนี้ คูคลองแห่งนี้มีความกว้างประมาณ 2 เมตร พื้นคลองกว้างประมาณ 1 เมตร เชื่อมต่อมาจากคลองชลประทานอีกที เวลาจะใช้น้ำก็จะเปิดจากคลองชลประทานมาทำนากัน ที่ผ่านมาไม่เคยเดือดร้อน แต่ต่อมาเมื่อประมาณเดือนตุลาคม ปี 64 ที่ผ่านมานี้ ทางเจ้าของที่ได้ถมที่ดินทับคูคลอง ซึ่งคูคลองแห่งนี้เป็นคูคลองที่ดาดคอนกรีต ไม่ใช่คูคลองดินธรรมดา ทำให้ชาวบ้านชาวนาเดือดร้อนกันมาก ตนเองทำนาเอาไว้ตอนนี้ ถ้าข้าวได้เวลาเกี่ยวก็ไม่สามารถระบายน้ำออกได้ ต้องเกี่ยวข้าวในน้ำ ซึ่งสร้างความลำบากเป็นอย่างมาก เวลาทำนาครั้งต่อไปจะทำอย่างไร ในเมื่อคูคลองถูกถมทับไปแล้ว อยากให้หน่วยงานราชการเข้ามาช่วยเปิดขุดคลองแห่งนี้ให้เหมือนเดิม สำหรับเรื่องนี้ตนเองและแกนนำชาวนาที่เดือดร้อนได้นำเรื่องไปร้องเรียน ทั้ง อบต. เจ้าของพื้นที่ ศูนย์ดำรงธรรม และที่หน่วยงานอื่น ๆ แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ตอนนี้ก็ได้ร้องเรียนไปยังสภาทนายความจังหวัดสิงห์บุรีให้เข้ามาช่วยเหลือชาวนาอีกทาง เพราะที่ผ่านมาชาวนาโดนขู่ว่าจะฟ้องร้อง ชาวนาก็กลัวเพราะไม่มีความรู้ทางกฎหมาย

นายภัคดี ไม้เลี้ยง ผอ.กองช่าง อบต.บางระจัน กล่าวว่า เจ้าของที่ดินได้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับทาง อบต. ในเรื่องที่มีการวางท่อรุกล้ำที่ดินของตน ซึ่งทางอบต. ก็ได้รับเรื่องและอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ สวนที่ชาวบ้านได้ร้องเรียนไปที่ศูนย์ดำรงธรรมนั้น ทางศูนย์ฯ ได้ส่งเรื่องมาที่ อบต.ให้ดำเนินการในเรื่องนี้ ตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือทั้งสองฝ่าย ในส่วนของเจ้าของที่ดินที่ถมดินทับคูคลองได้ไปขออนุญาตก่อสร้างรั้วกับทาง อบต. แต่ทาง อบต.ยังไม่ได้อนุญาต เพื่อรอตรวจสอบแนวเขตที่ติดต่อกับพื้นที่สาธารณะให้ชัดเจนก่อน โดยแจ้งเป็นหนังสือมาให้กับผู้ร้องรับทราบ โดยที่ยังไม่ได้อนุญาตให้ทำการก่อสร้าง แต่ทางผู้ร้องก็ได้ทำหนังสืออุทธรณ์ในเรื่องนี้มายัง อบต. ทาง อบต.ก็ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังจังหวัดตามขั้นตอนแล้ว

ด้าน นายสุรชัย บุญลือ สภาทนายความจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมทีมทนายความได้เดินทางลงพื้นที่พิพาทเพื่อเก็บข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ และได้พูดคุยกับชาวนาที่ได้รับความเดือดร้อน โดยนายสุรชัย กล่าวว่า ได้มาดูที่ดินที่เกิดเหตุพิพาทพบว่า คู่กรณีกับชาวนานั้นได้กลบคูน้ำที่เป็นสาธารณะประโยชน์สร้างความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งมองในรูปคดีไว้สองส่วน คือในทางคดีแพ่งและอาญา จากที่เห็นมันเป็นความผิดประมวลกฎหมายอาญาแล้วในมาตรา 360 ซึ่งเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ส่วนในทางคดีแพ่งก็จะรวบรวมผู้เสียหายที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากคูคลองสาธารณะนี้ได้ ให้มาร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องในคดีนี้ด้วย เบื้องต้นทราบว่าได้มีชาวนาไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมรับแจ้งความ อาจจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เข้าใจข้อกฎหมายอย่างถ่องแท้ ทางสภาทนายความจะจัดทนายความให้ลงพื้นที่ไปพร้อมกับชาวนาในวันที่จะไปแจ้งความให้ เพื่อจะได้เป็นที่เข้าใจในข้อกฎหมายตรงกันในลำดับต่อไป