ดีเอสไอรับคลี่คลายคดีบุกรุกที่ดินเทคนิคถลาง จ.ภูเก็ต พื้นที่ป่าบางขนุน เป็นคดีพิเศษ หลังพบเข้าข่ายผิดกฎหมายหลายฉบับ

 

28 ก.ย.2564 พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ มอบหมายให้นายภูรินท์พัฒน์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการส่วนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2 รับผิดชอบการสืบสวน และมีนายเจตนา เหมมุน ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมและการข่าวกองเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบร่วมเป็นคณะพนักงานสืบสวน ตรวจสอบกรณีที่วิทยาลัยเทคนิคถลาง จ.ภูเก็ต มีหนังสือร้องทุกข์และขอความอนุเคราะห์ให้ดีเอสไอ เข้าตรวจสอบพื้นที่ของวิทยาลัยฯ ที่ได้รับอนุมัติจากกรมป่าไม้ เพื่อการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าบางขนุน เนื่องจากมีบุคคลบุกรุกพื้นที่ดังกล่าวโดยอ้างว่าได้ถือเอกสารสิทธิจากกรมป่าไม้ และแย่งสิทธิการครอบครอง

จากการสืบสวนพบว่า ป่าบางขนุน ซึ่งอยู่ในเขตท้องที่ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ถูกประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติภายหลังกรมอาชีวศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าบางขนุน ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อจัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคภูเก็ต แห่งที่ 2 โดยลงนามในบันทึกรับทราบและรับรองที่จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขแนบท้ายประกาศกรมป่าไม้ฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 8 เม.ย.2540 ไว้แล้ว

 

 

โดยวิทยาลัยฯ ได้ปักเขตทำแนวรั้วลวดหนาม ทั้ง 4 ด้าน เสร็จสิ้นเมื่อช่วง เม.ย.2563 โดยสำรวจการถือครองพื้นที่ของราษฎรในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าบางขนุน พบว่า มีราษฎรที่ถือครองและใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้ จำนวน 265 ราย รวม 310 แปลง เนื้อที่ประมาณ 2,698-1-53 ไร่ ทำประโยชน์ด้วยการปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ชนิดต่าง ๆ ซึ่งราษฎรทุกรายได้ถือครองพื้นที่ป่าไม้ภายหลังการประกาศเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งพื้นที่ถูกบุกรุกเป็นป่าสงวนแห่งชาติและสวนป่าที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สภาพเป็น ป่าต้นน้ำ ป่าอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ขนาดใหญ่กระจายอยู่เต็มพื้นที่ เช่น ต้นยางทอง นากบุด หลุมพอ ตะเคียนทอง ตะเคียนหิน ยางนา และสะตอ เป็นต้น สามารถมองเห็นภูมิทัศน์โดยรอบได้อย่างชัดเจน เช่น สนามบินนานาชาติภูเก็ต ทะเลฝั่งอันดามัน เป็นต้น

ทั้งนี้ ดีเอสไอพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการบุกรุก ยึดถือ ครอบครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าบางขนุน และที่ดินของรัฐ ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ, พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ และประมวลกฎหมายที่ดิน ที่มีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน กระทบต่อสภาพแวดล้อมและทรัพยากรสำคัญของชาติ มีความซับซ้อน จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเป็นไปตามรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษประกาศกำหนด ตามประกาศ กคพ.(ฉบับที่ 7) เรื่อง กำหนดรายละเอียดลักษณะของคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงมีคำสั่งให้รับเรื่องดังกล่าวไว้เป็นคดีพิเศษ เพื่อสืบสวนสอบสวนและพิสูจน์ความผิดเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป