หมอปลาประสานทหารนำรถช่วยขนย้ายผู้บำบัดยาเสพติดชุดสุดท้ายจำนวน 19 คน จากวัดท่าพุราษฏร์บำรุง ไปส่งที่บ้านหมอปลาใน จ.เพชรบุรี ขณะที่หมอปลาเผยไม่เครียดแม้ถูกคู่กรณีฟ้องร้องดำเนินคดี

 

23 ก.ย.2564 ความคืบหน้า กรณีที่ นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการ จ.กาญจนบุรี มีคำสั่งให้ขนย้ายผู้บำบัดยาเสพติด ที่อยู่ในความดูแลของศูนย์บำบัดวัดท่าพุราษฏร์บำรุง จำนวนเกือบ 300 คน ออกมาอยู่ที่โรงพยาบาลสนาม ภายในค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เนื่องจากพบว่าสภาพความเป็นอยู่ภายในศูนย์บำบัดที่วัดท่าพุราษฏร์บำรุงมีความแออัด และไม่เหมาะสมต่อการดูแลผู้บำบัดจำนวนมาก

โดยเมื่อนำผู้บำบัดมาอยู่ที่โรงพยาบาลสนามภายในค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่แล้ว พบว่า มีผู้ปกครองของผู้บำบัดเดินทางมารับผู้บำบัดกลับบ้านกันไปเป็นจำนวนมาก กระทั่งล่าสุด เมื่อช่วงเวลา 13.00 น. วันที่ 23 ก.ย.2564 ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการประสานผู้ปกครองของผู้เข้ารับการบำบัดทั้งหมดจนเสร็จเรียบร้อย และพบว่าคงเหลือผู้บำบัดอยู่ที่โรงพยาบาลสนามจำนวนทั้งสิ้น 20 คน โดยในกลุ่มนี้จำนวน 19 คน ทางผู้ปกครองและผู้บำบัดยืนยันความประสงค์ที่จะเดินทางไปอยู่ที่บ้านของหมอปลาใน จ.เพชรบุรี มีเพียงหนึ่งคนที่มีอาการป่วยจิตเวช พูดคุยไม่รู้เรื่อง ทางเจ้าหน้าที่จึงจะได้ประสานให้ทางสาธารณสุขจังหวัด นำตัวไปเข้ารับการรักษายังสถาบันจิตเวชตามระบบต่อไป

ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนายพีระวัฒน์ มะณีสาร อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เข้ารับการบำบัดที่มีความประสงค์จะเดินทางไปอยู่ที่บ้านของหมอปลา โดยนายพีรวัฒน์ กล่าวว่า ตั้งใจจะเดินทางไปอยู่ที่บ้านของหมอปลาที่เพชรบุรี โดยได้พูดคุยกับผู้ปกครองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้ปกครองก็เห็นด้วย โดยตนตั้งใจที่จะไปช่วยหมอปลาทำงาน เท่าที่จะสามารถทำได้ แต่ในตอนนี้ ยังคงไม่ได้ทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้กับทางศูนย์บำบัดวัดท่าพุราษฏร์บำรุงคืน ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ และเงินสดที่ทางผู้ปกครองฝากเอาไว้ให้ โดยทางผู้ปกครองได้สอบถามไปยังทางศูนย์บำบัด และได้คำตอบกลับมาว่า ทางศูนย์บำบัดได้ทำลายโทรศัพท์ทิ้งไปแล้ว ส่วนเงินที่ฝากมาก็อยู่ในบัญชีของเจ้าอาวาสที่มรณภาพไปแล้ว จึงยังไม่สามารถนำมาคืนให้ได้

ด้าน หมอปลา กล่าวว่า นอกจากกลุ่มผู้บำบัดจำนวน 19 คน ชุดนี้ที่จะเดินทางไปอยู่ที่บ้านของตนแล้ว ยังมีผู้บำบัดอีกชุดหนึ่งที่เดินทางล่วงหน้าไปแล้วจำนวน 3-4 คน ซึ่งทั้งหมดตนจะดูแลเป็นอย่างดี คนไหนที่ทำงานได้ก็จะให้ช่วยทำงาน แต่คนไหนที่ยังจำเป็นจะต้องเข้ารับการบำบัดรักษา ก็จะให้เข้ารับการบำบัดต่อไป เพื่อให้กลับมาเป็นคนดีของสังคมและพ่อแม่ ส่วนกรณีที่ตนเองรวมถึงทนายไพศาล และพวกที่ร่วมกันเคลื่อนไหวช่วยเหลือกลุ่มผู้บำบัดวัดท่าพุราษฏร์บำรุง และเปิดโปงขบวนการส่งผู้บำบัดเข้าไปอยู่ในศูนย์บำบัดวัดท่าพุ จนต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจากทางคู่กรณีนั้น ตนเองไม่ได้หนักใจอะไร เพราะในการให้สัมภาษณ์ก็ไม่เคยไปเอ่ยชื่อหรือพาดพิงบุคคลใด อีกทั้งเรื่องต่าง ๆ ที่ตนพูดไปก็เป็นเรื่องจริงมีหลักฐานเอกสารต่าง ๆ พร้อมพิสูจน์ทั้งหมด