แม่พลทหาร ร้องทนายดังช่วยเหลือ หลังลูกชายผูกคอตายคาค่ายทหาร จ.ร้อยเอ็ด แต่ครอบครัวไม่เชื่อว่าฆ่าตัวตายเอง คดีผ่านมาเกือบปี กลับไม่คืบ
วันนี้ (16 ก.ย.2564) ผู้สื่อข่าวช่อง 8 รายงาน กรณี นางหนูไกร บุญวิเศษ ผู้เป็นแม่ พร้อมครอบครัวของ พลทหารพิชวัฒน์ เวียงนนท์ ทหารเกณฑ์มณฑลทหารบกที่ 27 จังหวัดร้อยเอ็ด นำหลักฐานยื่นขอความช่วยเหลือ จาก ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ กรณีการเสียชีวิตของพลทหารพิชวัฒน์ ในสภาพผูกคอตายอยู่ภายในห้องน้ำของค่ายทหารเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งทางญาติติดใจสาเหตุการตาย โดยก่อนหน้านี้เคยร้องเรียนที่กองบังคับการปราบปรามมาแล้ว แต่คดีผ่านมาเกือบ 1 ปี ยังไม่มีความคืบหน้า
นางหนูไกร บุญวิเศษ แม่ของพลทหารที่เสียชีวิตเปิดเผยว่า ตนเองอยากให้ทนายเดชาช่วยเหลือเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะเชื่อว่าลูกชายเสียชีวิตผิดธรรมชาติ เนื่องจากไม่เชื่อว่าลูกชายจะผูกคอตายเอง เนื่องจากลูกชายไม่เคยมีอาการซึมเศร้าเป็นคนร่าเริง และขณะที่ได้รับแจ้งว่าลูกชายเสียชีวิตได้เดินทางไปขอดูศพภายในค่าย แต่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไป อ้างว่าอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งก่อนหน้าที่ลูกชายจะเสียชีวิตประมาณ 1 อาทิตย์ ได้บอกว่า ไม่อยากกลับเข้าไปภายในค่าย เพราะกลับไปอาจจะเสียชีวิต ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกทำร้ายร่างกายมาหลายครั้ง ทั้งเอาเท้าเหยียบคอตบหน้า แต่พอสอบถามไปยังผู้บังคับบัญชาที่ทำร้ายลูกชายตนเองคนหนึ่ง ยอมรับว่าทำจริง เพื่อเป็นการสั่งสอนอ่านว่าลูกชายของตนเองเป็นคนดื้อ ถึงจะเอาไปยิงทิ้งที่ไหนก็ไม่น่าเสียดาย
ส่วนการสอบถามเรื่อง ผลชันสูตรจากแพทย์ ได้รับแจ้งว่าเจอยาเสพติดที่เส้นผมของลูกชาย ไม่พบดีเอ็นเอผู้อื่นในตัวของลูกชายตนเอง ส่วนที่ศีรษะและตามร่างกายที่เป็นรอยช้ำ เกิดจากกล้องที่มีการสแกนสี โดยแพทย์ยังระบุกับตนเองว่า ให้หยุดการติดตามเรื่องนี้ เนื่องจากตนเองไม่สามารถจะต่อสู้ได้ เนื่องจากคู่กรณีเป็นทหาร
ขณะที่ตนเองได้ไปสอบถามความคืบหน้าของคดีที่กองบังคับการปราบปราม ได้รับแจ้งจากตำรวจว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบทางลับกับผู้ที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องประมาณ 5 คน ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากกว่านี้ หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบ แต่เรื่องก็เงียบไป ตนจึงได้กลับไปที่กองปราบอีกครั้ง และแจ้งผลการชันสูตรศพลูกชายจากแพทย์แก่ตำรวจ ว่าเจอยาเสพติดที่ผมของลูกชาย โดยตำรวจได้บอกกับตนเองว่า ถ้าเขายัดเงินแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้แค่ 2-3 ล้านเรื่องก็จบ
ระหว่างที่ตนเองติดตามคดีได้ถูกข่มขู่จากผู้บังคับบัญชาของลูกชาย บอกกับตนเองว่าลูกชายติดยาเสพติด ซึงหากตนเองไม่หยุดหาทนายความทำคดีก็จะไม่ได้อะไรเลย ตนเองไม่ทราบว่าลูกติดยาหรือไม่ แต่ตลอดเวลาที่ลูกอยู่กับตนเองไม่เคยพบว่าลูกเสพยา แต่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ลูกเคยเสพยาเสพติดจริง ระหว่างไปอยู่กับพ่อแต่เลิกไปนานแล้ว ซึ่งหลังเกิดเหตุยังไม่เคยรับเงินค่าเยียวยาจากหน่วยงานแต่อย่างใด ที่ได้รับมาเป็นเงินเดือนของลถูกชายที่ค้างอยู่ประมาณ 50,000 กว่าบาท และ ค่าประกันชีวิตที่ลูกชายทำไว้จำนวน 100,000 บาท
นางหนูไกร ระบุทั้งน้ำตาว่า เสียใจที่ลูกต้องถูกทรมานทารุณจนเสียชีวิต เสียดายที่ต้องสูญเสียลูกเพียงคนเดียวที่หวังให้เป็นที่พึ่ง ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เอาคนที่ฆ่าลูกตนเองมารับโทษ
ด้าน ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เปิดเผยว่า ช่วยดูแลในเรื่องของการไต่สวน โดยยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกพยานบุคคลที่อยู่ร่วมกับผู้ตายเข้าให้ถ้อยคำกับศาล โดยตนเองจะดำเนินการทำคำถามยื่นให้กับศาลพิจารณาในการสอบพยาน พร้อมกับร้องขอให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและผังบริเวณที่เกิดเหตุ และนำข้อพิรุธตามที่ญาติติดใจเกี่ยวกับการผูกคอตาย แต่มีรอยช้ำตามร่างกายหลายแห่ง พร้อมกับนำหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในการผ่าพิสูจน์ศพว่า สาเหตุของการเสียชีวิตมาจากสิ่งใด หรือถูกกดดันทำให้เกิดอาการเครียดจนกระทั่งต้องผูกคอตายเอง เพื่อนำเข้าสู่การไต่สวนและพิจารณาของศาล พร้อมกับเสนอให้ศาลออกหมายตำรวจ เขาให้ปากคำว่าจะการสอบสวนได้พยานหลักฐาน หรือ ผู้ต้องสงสัยรายใดบ้าง
ส่วนการฟ้องคดีนี้ จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.คดีอาญาใครเป็นผู้ทำให้ตาย 2.คดีแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย และ 3.คดีการชันสูตรพลิกศพ