วันนี้ 12 มี.ค.67 เมื่อช่วงเวลา 18.30 น. นายพิทญาผู้ก่อเหตุฆาตกรรมนางสาหมกบ่อน้ำในกุฏิร้าง ได้ติดต่อขอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช โดยมีการนัดหมายกันบริเวณอำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในช่วงแรกทางด้าน พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ก็ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า หลังจากเมื่อวานนี้ที่ได้มีการพบศพของนางสา ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่ออนุมัติออกหมายจับนายพิทญาในทันที ซึ่งในวันนี้ทางด้านของผู้ต้องหาก็ได้ติดต่อขอมอบตัวเนื่องจากทนแรงกดดันจากตำรวจไม่ไหว อีกทั้งที่ผู้ต้องหาให้การว่าตัวเองนั้นรู้สึกผิด เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การว่า สาเหตุของการฆาตกรรมนางสานั้นมาจากการหึงหวง โดยผู้ต้องหาอ้างว่าทางด้านของนางสาผู้เสียชีวิตนั้นแอบคบซ้อน ซึ่งที่ผ่านมาผู้ต้องหาก็ได้พยายามขอร้องให้นางสารักแค่เขาเพียงคนเดียว แต่สุดท้ายในวันที่ 3 มีนาคม 2567 ผู้ต้องหาอ้างว่าได้มีปากเสียงกับนางสาอย่างรุนแรง ด้วยความโมโหจึงใช้อาวุธมีดพกแทงเข้าไปที่ลำคอ 1 ครั้ง หลังจากนั้นก็ได้นั่งรอจนกว่านางสาจะสิ้นใจ เมื่อเห็นว่านางสาเสียชีวิตก็ได้มีการลากร่างไปยังบริเวณบ่อน้ำในกุฏิร้าง ก่อนจะใช้แรงฮึดสุดท้ายอุ้มร่างขึ้นมาแล้วโยนทิ้งบ่อน้ำไป ส่วนอาวุธมีดได้มีการนำไปทิ้งถังขยะในช่วงเช้าวันที่ 4 มีนาคม 2567 ก่อนที่จะทำการหลบหนีออกต่างจังหวัดไป ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ก็จะทำการสอบปากคำผู้ต้องหาอีกครั้งและจะแจ้งต่อสื่อมวลชนในภายหลัง

 

ต่อมาทีมข่าวได้พยายามสอบถามนายพิทญา (ผู้ต้องหา) ถึงปมเหตุในการฆาตกรรมนางสา ซึ่งในตอนแรกนายพิทญานั้นไม่ยอมปริปากพูด แต่เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามซักถามเรื่อย ๆ ก็ทำให้นายพิทญาร้องไห้ออกมาทันที พร้อมกับพูดว่า “ผมเสียใจ ผมขอโทษ” จากนั้นนายพิทญาก็ได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยอ้างว่า ตัวเองนั้นรู้สึกโกรธและหึงหวงที่จับได้ว่านางสานั้นมีคนอื่น ตนพยายามขอร้องให้นางสามีเพียงตนแค่คนเดียว แต่นางสาก็ไม่ยอม ตนจึงลงมือทำร้ายด้วยความโกรธ โดยนายพิทญายืนยันว่าตนนั้นเป็นคนลงมือเพียงผู้เดียว

 

ล่าสุดเมื่อช่วงเวลา 18.30 น. นายพิทญาผู้ก่อเหตุฆาตกรรมนางสาหมกบ่อน้ำในกุฏิร้าง ได้ติดต่อขอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช โดยมีการนัดหมายกันบริเวณอำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในช่วงแรกทางด้าน พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ก็ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า หลังจากเมื่อวานนี้ที่ได้มีการพบศพของนางสา ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่ออนุมัติออกหมายจับนายพิทญาในทันที ซึ่งในวันนี้ทางด้านของผู้ต้องหาก็ได้ติดต่อขอมอบตัวเนื่องจากทนแรงกดดันจากตำรวจไม่ไหว อีกทั้งที่ผู้ต้องหาให้การว่าตัวเองนั้นรู้สึกผิด เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การว่า สาเหตุของการฆาตกรรมนางสานั้นมาจากการหึงหวง โดยผู้ต้องหาอ้างว่าทางด้านของนางสาผู้เสียชีวิตนั้นแอบคบซ้อน ซึ่งที่ผ่านมาผู้ต้องหาก็ได้พยายามขอร้องให้นางสารักแค่เขาเพียงคนเดียว แต่สุดท้ายในวันที่ 3 มีนาคม 2567 ผู้ต้องหาอ้างว่าได้มีปากเสียงกับนางสาอย่างรุนแรง ด้วยความโมโหจึงใช้อาวุธมีดพกแทงเข้าไปที่ลำคอ 1 ครั้ง หลังจากนั้นก็ได้นั่งรอจนกว่านางสาจะสิ้นใจ เมื่อเห็นว่านางสาเสียชีวิตก็ได้มีการลากร่างไปยังบริเวณบ่อน้ำในกุฏิร้าง ก่อนจะใช้แรงฮึดสุดท้ายอุ้มร่างขึ้นมาแล้วโยนทิ้งบ่อน้ำไป ส่วนอาวุธมีดได้มีการนำไปทิ้งถังขยะในช่วงเช้าวันที่ 4 มีนาคม 2567 ก่อนที่จะทำการหลบหนีออกต่างจังหวัดไป ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ก็จะทำการสอบปากคำผู้ต้องหาอีกครั้งและจะแจ้งต่อสื่อมวลชนในภายหลัง

 

ต่อมาทีมข่าวได้พยายามสอบถามนายพิทญา (ผู้ต้องหา) ถึงปมเหตุในการฆาตกรรมนางสา ซึ่งในตอนแรกนายพิทญานั้นไม่ยอมปริปากพูด แต่เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามซักถามเรื่อย ๆ ก็ทำให้นายพิทญาร้องไห้ออกมาทันที พร้อมกับพูดว่า “ผมเสียใจ ผมขอโทษ” จากนั้นนายพิทญาก็ได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยอ้างว่า ตัวเองนั้นรู้สึกโกรธและหึงหวงที่จับได้ว่านางสานั้นมีคนอื่น ตนพยายามขอร้องให้นางสามีเพียงตนแค่คนเดียว แต่นางสาก็ไม่ยอม ตนจึงลงมือทำร้ายด้วยความโกรธ โดยนายพิทญายืนยันว่าตนนั้นเป็นคนลงมือเพียงผู้เดียว

 

วุ่น! ญาติบุกเผชิญหน้า “ไอ้นาย” ด่าลั่นโรงพัก

หลังจากที่มีการแถลงข่าวและได้พูดคุยกับผู้ต้องหาแล้ว ทางด้านญาติและเพื่อนของนางสาก็ได้พยายามตะโกนสอบถามถึงสาเหตุในการฆ่า รวมถึงสอบถามว่าเงินที่ได้จากการขายทองมากกว่า 80,000 บาท หายไปไหนแล้วเพราะนายพิทญาอ้างว่าตนเองนั้นมีเงินเหลืออยู่เพียง 100 กว่าบาท แต่ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการห้ามปรามไม่ให้ญาติของนางสาวเข้ามาพูดคุยหรือเข้าใกล้ผู้ต้องหาเพราะหวั่นว่าจะเกิดอันตราย ทำให้ทางญาติเกิดความไม่พอใจและตะโกนด่าตำรวจในทันที นำโดยเจ้าของหอพัก ซึ่งจับใจความสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อประมาณ “ทำไมตำรวจถึงปกป้องคนผิด ทำไมตำรวจไม่เข้าใจชาวบ้านในฐานะคนสูญเสีย แค่จะถามผู้ต้องหาไม่กี่คำไม่ได้เลยเหรอ ถ้าหากลูกหลานของตำรวจถูกฆ่าอย่างอำมหิตแบบนี้จะให้ใจเย็นไหวได้อย่างไร แล้วอย่างนี้สาจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่“

 

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวนายพิทญาออกจากห้องในทันที โดยมีการพานายพิทญาวิ่งไปขึ้นรถเก๋งสีดำแล้วก็นำตัวออกไปในทันที การกระทำเหล่านั้นทำให้ญาติรู้สึกโกรธเคืองมากขึ้นกว่าเดิม จึงมีการตะโกนสาปแช่งทั้งผู้ต้องหาและตำรวจไปในคราวเดียวกัน โดยนางดา (เจ้าของหอพัก) ก็บอกว่าถ้าตนประชิดถึงตัวไอ้นายได้ จะเหยียบให้มัน จากนั้นก็หันไปด่าตำรวจบริเวณนั้นต่อ

 

ซึ่งระหว่างนั้นทางเจ้าของหอพักอีกคน (ผู้ชาย) ก็ได้กล่าวพร้อมน้ำตาว่าตนนั้นรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เพราะวันนั้นที่นายพิทญาได้ทำการฆาตกรรมนางสาอย่างโหดเหี้ยม ในวันนี้เหมือนกับว่ามันไม่รู้สึกผิด มันยังโทษความผิดให้กับคนตาย มันใส่ร้ายคนตายว่านอกใจมีชู้ ซึ่งในวันนี้นางสาตายไปแล้ว นางสาก็ไม่มีสิทธิ์ลุกขึ้นมาโต้ตอบอะไรได้เลย อีกทั้งที่แม่ของไอ้นายก็ปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น ตนไม่เชื่ออย่างแน่นอนเพราะที่ผ่านมานางสานั้นมีความสนิทสนมกับแม่ของไอ้นายเป็นอย่างมาก ขนาดที่ว่าเคยฝากงานให้กับแม่ของไอ้นาย เพราะหวังดีอยากให้ครอบครัวของมันมีงานมีเงิน แต่ในวันนี้พวกมันกับรวมหัวกันปกปิด ปล่อยให้สาจากไปอย่างโดดเดี่ยว

 

วันนี้ทีมข่าวช่องแปดเดินทางมายังอำเภออาง จังหวัดกระบี่เพื่อหาเบาะแสของนายนายอีกครั้ง

 

ทีมข่าวได้ภาพวงจรปิดเวลาประมาณ 16:04 น. วันที่ 7 มีนาคม 2567 จำนวนสี่มุม จากภาพนายนาย ขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างตะเวนหาขอทำงานทำกับคนรู้จักในพื้นที่อำเภออ่าวนาง จังหวัดกระบี่ ทราบชื่อนายกล้า

 

ทีมข่าวจึงได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับภรรยาของนายกล้า ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา นายได้ขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมาที่ร้านเอง เพื่อมาของานทำ และมาขอที่พักอาศัย โดยเขาบอกว่าเขาตั้งใจจะมาทำงานในพื้นที่อำเภออางจังหวัดกระบี่ ตอนนั้นตัวเองก็รับปากว่าจะหางานให้เขา จากนั้นนายนายก็เดินออกไปจากร้านและขับรถมาใส่พ่วงข้างออกไป จนตัวเองมาทราบข่าวเมื่อวานนี้ว่าเขาเพิ่งหลบหนีจากการก่อเหตุมาพื้นที่อำเภออ่าวนาง ยอมรับว่าตกใจมาก ซึ่งหลังจากเป็นข่าว ตัวเองก็ไม่เจอเขาอีกเลย สำหรับนายนายเขาเคยเป็นลูกจ้างที่ร้านของตัวเองมาก่อนเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว