จากกรณีเจ้าหน้าที่พบศพ นายนิโรจน์ อายุ 48 ปี นอนตายหน้าลักษณะขาทั้ง 2 ข้างงอแบะออกหมือนท่านั่งคุกเข่า นุ่งกางเกงขาสั้น สีน้ำตาล เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น สีดำ ใส่รองเท้าแตะ ถูกยิงที่กลางหน้าผาก 1 นัด กลางอก 4 นัด ฝ่ามือซ้าย 1 นัด รวม 6 นัด อยู่ในสวนปาล์มของชาวบ้าน หมู่ที่ 16 ต.ดอนยาง อ.ปะทิว จ.ชุมพร ก่อนที่เจ้าหน้าที่ได้จับกุมนายชาตรี หรือ หนึ่ง เป็นผู้ก่อเหตุ อ้างสาเหตุที่ยิงเพราะป้องกันตัว รับโมโหคนตายด่าคำหยาบถึงบุพการี นั้น


อ่านต่อ : แค้นด่าแม่! รวบมือปืนโหดยิงแสกหน้า ที่แท้ห้ามศึกแต่ถูกด่า รัวหมดโม่ดับสยอง


ล่าสุดวันนี้ (29 ก.พ. 2567) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายชาตรี ผู้ต้องหาออกมาจากห้องสืบสวนเพื่อไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ ซึ่งระหว่างคุมตัวนายชาตรี หรือ หนึ่ง ออกมาขึ้นรถนั้น เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด




จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาผู้ต้องหาไปทำแผนในจุดที่ 1 ซึ่งบริเวณหน้าบ้านของนายหนึ่ง ผู้ต้องหา เป็นจุดที่ผู้ต้องหานำเมมโมรี่การ์ดหน้ารถของผู้ตายมาเผาทิ้งทำลายหลักฐาน ซึ่งจะพบท่อนไม้ที่เป็นรอยไหม้ จากการที่ผู้ต้องหาเผาทำลายหลักฐานอีกด้วย


ต่อมาตำรวจได้พาผู้ต้องหาไปทำแผนที่จุดที่ 2 ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กั้นเชือก ไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไป ขณะที่บรรยากาศโดยรอบได้มีภรรยาผู้ตาย และลูกสาว (ซึ่งเป็นแฟนเก่า นายทีรพล หลานคนก่อเหตุ) ลูกชายผู้ตาย และชาวบ้านประมาณ 50 คน มายืนดูการทำแผนที่จุดเกิดเหตุ จากนั้น ตำรวจได้พานายชาตรี หรือ หนึ่ง ลงมาจากรถเพื่อไปทำแผนที่จุดเกิดเหตุ พร้อมกับนำรถมอเตอร์ไซค์ของนายหนึ่ง ที่เจ้าตัวขี่ในวันเกิดเหตุมาจำลองเหตุการณ์


นายหนึ่ง ได้ชี้จุดเกิดเหตุ แล้วให้การว่า วันเกิดเหตุตัวเองมาจอดรถมอเตอร์ไซต์เทียบกับรถกระบะของผู้ตาย ก่อนที่จะเคลียร์กันเรื่องที่ผู้ตายมีปัญหากับนายทีรพล โดยตอนนั้นตัวเองเห็นผู้ตายเหมือนจะไปหยิบอะไรออกมาจากในรถ แล้วจะเอื้อมฝ่ามือมาตีตัวเอง ตัวเองจึงเอาปืนที่เหน็บไว้ที่เอว ออกมายิงมือผู้นาย 1 นัด จังหวะที่ยิงไปนัดแรกนั้น รถมอเตอไซค์ของตัวเองก็ล้มลงไป แล้วหลังจากนั้นนัดที่เหลือ ปืนก็ลั่นอีกหลายนัด


ซึ่งจังหวะที่นายชาตรีอธิบายเหตุการณ์ตอนเกิดเหตุนั้น ก็จะมีเสียงภรรยาผู้ตาย ที่ดูการทำแผนอยู่รอบนอก ได้ตะโกนถามผู้ก่อเหตุว่า “มึงฆ่าผัวกูทำไม” ก่อนที่นายชาตรีจะหันกลับไปหาเมียผู้ตาย แล้วพูดขึ้นมาว่า “เจ๊ผมขอโทษนะ”


หลังจากทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุเสร็จ ระหว่างที่ผู้ต้องหาเดินไปขึ้นรถ นายชาตรีได้ให้สัมภาษณ์กับสื่ออีกครั้งว่า ตัวเองเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและอยากขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิต “เป็นใครก็ต้องทำแบบนี้ เพราะว่าเห็นผู้ตายหันกลับไปหยิบอะไรบางอย่าง” ตัวเองยืนยันว่าทำไปเพราะป้องกันตัว ส่วนเรื่องกล้องหน้ารถของผู้ตาย ขอยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เอาไป


หลังจากทำแผนจุดที่ 2 ยังพบว่าลูกชายของผู้เสียชีวิตได้อยู่ในอาการโมโห อยากจะเข้าไปดูหน้าผู้ก่อเหตุ จนพี่สาวและญาติ ๆ ต้องมาจับตัวและเกลี้ยกล่อมเอาไว้ ให้ใจเย็น ๆ




ส่วนทางด้านนางสาวจรรนภา ภรรยาคนตาย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากดูการทำแผนวันนี้ ตัวเองขอไม่ยกโทษให้ผู้ก่อเหตุ และให้เชาติดคุกไปตลอดชาติเลย ที่เขาอ้างว่าทำไปเพรระป้องกันตัว ตัวเองก็ไม่เชื่อเด็ดขาด ที่ผ่านมาสามีไม่เคยมีปัญหากับนายชาตรีมาก่อนเลย ส่วนเรื่องกล้องหน้ารถ ของสามีที่หายไป ตัวเองก็เชื่อว่านายหนึ่งนั่นแหละที่เป็นคนทำลายหลักฐาน ไม่อย่างนั้นจะหายไปได้อย่างไร


ส่วนนางสาวณิชากร หรือ เมย์ ลูกสาวคนตาย ก็บอกว่า ที่ผู้ต้องหาอ้างว่าพ่อตัวเองจะทำร้ายเขาก่อน ตัวเองขอยืนยันว่าพ่อไม่มีอาวุธปืน แล้วก็ไม่เคยพกปืนติดตัว เพราะตัวเองไม่มีนิสัยที่จะไปก่อเหตุยิงใคร หรือทำร้ายใครก่อนแบบนั้น ทางครอบครัวขอยืนยันว่าไม่มีทางให้อภัยผู้ก่อเหตุแน่นอน “พ่อหนูเจอแบบไหน มันต้องเจอแบบที่พ่อหนูเจอ”


ซึ่งหลังจากให้สัมภาษณ์ ภรรยาผู้เสียชีวิตก็เป็นลมล้มลงไป จากนั้นทั้งสื่อมวลชนและชาวบ้านก็ได้ เรียกกู้ภัยเข้ามาปฐมพยาบาลให้กับภรรยาผู้เสียชีวิตในเบื้องต้น ก่อนที่จะนำตัวขึ้นรถกู้ภัยไปส่งโรงพยาบาล


ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้พาผู้ต้องหาไปทำแผนในจุดที่สาม ซึ่งจุดนี้เป็นบริเวณชายหาดริมทะเล ที่ผู้ต้องหานำกล้องหน้ารถของผู้เสียชีวิตมาทิ้งลงน้ำเพื่อทำลายหลักฐาน ซึ่งจะมีคลิปจากกล้องของตำรวจที่ผู้ต้องหานำชี้จุด ว่าหลังจากเกิดเหตุในคืนวันนั้น เจ้าตัวได้นำกล้องหน้ารถของผู้เสียชีวิตมาทิ้งที่ทะเล โดยพายเรือออกไปประมาณ 200 เมตร แล้วก็ทิ้งหลักฐานดังกล่าว จากนั้นเจ้าหน้าที่ นักประดาน้ำ 2 ราย ก็ได้งมหาหลักฐานในทะเลประมาณ 30 นาที แต่ก็ไม่เจอหลักฐานกล้องหน้ารถของผู้เสียชีวิต





หลังจากนั้นตำรวจได้คุมตัวผู้ต้องหากลับมาที่ สภ.มาบอำมฤต ผู้สื่อข่าวก็ได้สอบถามผู้ต้องหาอีกครั้งว่า ที่เอากล้องหน้ารถของผู้ตายไปทิ้งต้องการจะทำลายหลักฐานหรือไม่ เจ้าตัวก็ตอบว่า “ไม่” แค่คำเดียว ก่อนที่ตำรวจจะคุมตัวเข้าห้องขังต่อไป


ด้านนายทีรพล หรือ ปัง อายุ 30 ปี อดีตลูกเขยของผู้เสียชีวิต และเป็นลูกพี่ลูกน้องของผู้ก่อเหตุ ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองรู้สึกสบายใจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในครั้งนี้ โดยก่อนเกิดเหตุ ตัวเองมาที่บ้านนายชาตรี เพื่อจะเอาเงิน 400 บาท ค่าตัดไม้กับนายชาตรี โดยระหว่างที่ขี่รถมาตามทาง ก็พบว่านายนิโรจน์ อดีตพ่อตาของตัวเอง ได้ขับรถกระบะตามหลังตัวเองมา จังหวะที่ตัวเองขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้านของนายชาตรี ผู้ต้องหานั้น นายนิโรจน์ก็ได้จอดรถกระบะ ลดกระจกลงมาพูดกับตัวเองว่า “กูอยากเจอมึงนานแล้ว”


เมื่อตัวเองได้ยินอย่างนั้น ตัวเองได้รีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปในซอยสวนปาล์มที่เกิดเหตุ แต่ตอนนั้นตัวเองขี่เลยจุดเกิดเหตุไปทำให้ผู้ตายตามไม่ทัน ส่วนผู้ตายก็ขับไปอีกซอย แล้วตัวเองก็ไม่ได้เจอกับผู้ตายอีกเลย ตัวเองจึงวนรถมอเตอร์ไซต์กลับมาแล้วขี่มาที่บ้านของนายชาตรี แล้วมาเจอกับนายชาตรีพร้อมกับภรรยาของเขาอยู่ที่บ้าน นายชาตรีได้พูดกับตัวเองว่า “เดี๋ยวกูเคลียร์ให้เอง”




จากนั้นนายชาตรีและภรรยาของเขาก็ขี่รถมอเตอร์ไซต์ตามกระบะของผู้เสียชีวิต คาดว่าพวกเขาน่าจะไปเจอกันที่จุดเกิดเหตุ ซึ่งตัวเองก็ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์หลังจากนั้น และคืนนั้นตัวเองก็ไม่ได้ยินเสียงปืนเนื่องจากตัวเองได้ขี่กลับมาที่บ้านแล้ว จึงมารู้ข่าวอีกทีหลังจากที่ชาวบ้านไปเจอศพผู้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งหลังเกิดเหตุตัวเองก็ได้เจอกับนายชาตรีอีกครั้ง ในช่วงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ แต่เขาก็ไม่ได้มีพิรุธ และไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อคืนให้ตัวเองฟังเลย ตัวเองจึงไม่เคยสงสัยนายชาตรีมาก่อน


ยอมรับว่าตัวเองก็รู้สึกเสียใจที่อดีตพ่อตาต้องมาถูกยิงเสียชีวิตแบบนี้ อีกมุมมองหนึ่งตัวเองก็สงสารนายชาตรี ผู้ก่อเหตุ ที่เขาต้องมาก่อเหตุจากเรื่องที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง เป็นเพราะเขาอาจรักตัวเองมาก จึงไปเคลียร์เรื่องดังกล่าวให้และตัวเองก็เชื่อว่าผู้ตายน่าจะมีท่าทีจะทำร้ายนายชาตรีก่อนหรือไม่ นายชาตรีเขาถึงก่อเหตุดังกล่าว ตัวเองคิดว่าวันที่เกิดเหตุ หากตัวเองได้เคลียร์กับอดีตพ่อตาก็อาจจะเป็นตัวเองนี่แหละที่ถูกยิงแทน เพราะอดีตพ่อตาก็เป็นคนอารมณ์ร้อน




ตัวเองอยากจะขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะอดีตภรรยาที่ตัวเองอาจจะเป็นต้นเหตุให้พี่ตัวเองไปก่อเหตุครั้งนี้ และอยากจะบอกนายชาตรีว่า ตนรักเขามาก ซาบซึ้งน้ำใจเขาที่ช่วยตัวเองในครั้งนี้


สำหรับความคืบหน้าทางคดีเจ้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหานายชาตรี ในข้อหาฆ่าผู้อื่นหรือเจตนา และเรื่องของการพกอาวุธปืน สวนนางสาวนุช (นามสมมติ) ภรรยาของผู้ก่อเหตุนั้น เบื้องต้นไม่ถูกแจ้งข้อหา เนื่องจากเจ้าตัวให้การว่า ไม่ได้ร่วมก่อเหตุ และก็ได้ห้ามสามีขณะเกิดเหตุยิง

 

หนุ่มปืนโหดยิงหัวหมกสวน เผากล้องทำลายหลักฐาน เมียแค้นตะโกนถาม "ฆ่าผัวทำไม"