จากกรณีเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2567 ช่วงเวลา 20.50 น. มีวัยรุ่นชาย 2 คน คือ นายสมใจ อายุ 29 ปี และ นายพงษ์พัฒน์ อายุ 23 ปี รุมทำร้ายร่างกาย นายศุภกฤช มีอาชีพ รปภ. บริเวณป้ายรถประจำทางปาก ซอยอรุณอัมรินทร์ 28 แขวงอรุณอัมรินทร์ บางกอกน้อย กทม. แล้ววิ่งหลบหนีสวนทางกับสายตรวจบางยี่ขัน สายตรวจจึงติดตามและประสานฝ่ายสืบสวนไล่ล่าคนร้าย จนสามารถจับกุมตัวได้บริเวณกลางซอยสมเด็จพระปิ่นเกล้า ซ.9 ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ จึงนำตัวผู้ก่อเหตุนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป


ในวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ พบว่าบริเวณดังกล่างค่อนข้างมืดและร้านค้าปิดเงียบ และบริเวณจุดเกิดเหตุยังพบคราบเลือดของผู้บาดเจ็บอยู่ จากการไล่กล้องวงจรปิดพบว่า มีการเดินตามมาเพื่อจะทำการชิงทรัพย์


โดยคลิปกล้องวงจรปิด 1 ตอน 20.50 น. จะเห็นชาย 2 คน เดินตามผู้บาดเจ็บประกบตามติด ๆ หน้าร้านบะหมี่ ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุ 50 เมตร และจากกล้องอีกมุมจะเห็นว่าชาย 2 คนนี้ เดินตาม ชายเสื้อขาว คือ รปภ. ก่อนจะทำการต่อยและรุมทำร้ายร่างกาย พร้อมกับวิ่งหนีไป


คลิปวงจรปิด 3 เป็นกล้องจากร้านกาแฟ เห็นการวิ่งหนีของผู้กระทำความผิด คลิปวงจรปิด 4 เป็นคลิปวิ่งหนีหลังกระทำความผิด และคลิปวงจรปิด 5 เป็นกล้องจากข้างโฮเทล เห็นว่า ผู้กระทำความผิดวิ่งด้วยความเร็วสูงก่อนโดนจับได้




วันเดียวกันนี้ (29 ก.พ.) ที่ สน.บางยี่ขัน ตำรวจร้อยเวรเจ้าของคดีได้มีการเบิก 2 ผู้ต้องหา คือนายพงษ์พัฒน์ และ นายสมใจ มาสอบสวนเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายก่อนฝากขังในวันพรุ่งนี้ โดยระหว่างที่มีการเบิกตัวออกจากห้องขังเพื่อลงมาชั้นล่างของห้องสอบสวนสอบ ผู้สื่อข่าวสอบถามตัวของนายพงษ์พัฒน์ และนายสมใจ เกี่ยวกับแรงจูงใจ สาเหตุ ความรู้จัก หรือความโกรธแค้น ซึ่งระหว่างที่ลงมาจากบันไดเจ้าตัวได้แต่ก้มหน้าเงียบและไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น


และระหว่างที่มาถึงบริเวณโต๊ะของร้อยเวรเจ้าของคดี ผู้สื่อข่าวพยามถามย้ำอีกครั้ง ว่าอยากจะฝากขอโทษ หรืออยากจะอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรหรือไม่ ตัวของนายสมใจมีลักษณะตาขวางไม่ยอมตอบ แต่มีเพียงนายพงษ์พัฒน์ ตอบส้้น ๆ “ขอโทษ” แต่เมื่อมีการสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจหรือความรู้จัก หรือพฤติกรรมที่ตั้งใจก่อนก่อเหตุอย่างไร ทั้งคู่นั่งเงียบไม่ตอบคำถามเพิ่มเติม


โดยการก่อเหตุครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหนัก คือ ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นโดยการประทุษร้ายทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส




พ.ต.อ.พายัพ สมบูรณ์ ผกก.สน.บางยี่ขัน เปิดเผยว่า สำหรับประวัติของผู้ก่อเหตุทั้งสองคนนั้น คนแรกคือ นายสมใจ พื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ ย่านอรุณอมรินทร์ เคยมีประวัติถูกตำรวจ สน.บางยี่ขัน จับกุมมาแล้วถึง 6 ครั้ง แบ่งเป็นคดีครอบครองกับเสพยาเสพติด 5 ครั้ง และคดีเล่นการพนัน 1 ครั้ง ส่วนนายพงษ์พัฒน์ เป็นชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ มาทำงานที่กรุงเทพฯ หลายปีแล้ว ซึ่งเคยถูกจับกุมในคดียาเสพติดที่กาฬสินธุ์ถึง 2 ครั้ง โดยปัจจุบันอยู่ในสภาวะตกงานและใช้ชีวิตอยู่ ย่านอรุณอมรินทร์


จากพฤติการณ์ของคดีในนั้น พบว่า ทั้งสองคนนี้เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนเกิดเหตุ คาดว่า นายสมใจดื่มสุราและอาจจะพบเจอพูดคุยกับนายพงษ์พัฒน์ ด้วยความถูกคอชอบใจกัน รวมทั้งอาจจะไม่มีเงินและเกิดอาการชั่ววูบ จึงตัดสินใจก่อเหตุขอเงินชาวบ้าน ก่อนจะมาลงเอยกับการชิงทรัพย์ รปภ. คนนี้


สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า พนักงานรักษาความปลอดภัยรายดังกล่าว นั่งรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ บริเวณปากซอยอรุณอมรินทร์ 28 คนร้ายทั้งสองคนเห็นว่า ผู้เสียหายเล่นโทรศัพท์มือถือ จึงเดินไปขอเงิน แต่ผู้เสียหายไม่ให้และพยายามเดินหนี คนร้ายทั้งสองจึงเดินตาม เพื่อพยายามตื๊อที่จะขอเงิน แต่ผู้เสียหายก็ไม่ยอมให้เงิน จนคนร้ายเข้ามาชกต่อยผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายล้มศีรษะฟาดกับอิฐบล็อกฟุตบาท เป็นเหตุทำให้ศีรษะแตก ซึ่งขณะนี้ผู้เสียหายยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยรวมอาการดีขึ้น แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อวินิจฉัยต่อไป ว่าสมองในการกระทบกระเทือนหรือไม่ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้เดินทางไปสอบปากคำเบื้องต้นแล้ว พบว่าผู้เสียหายยังมีสติสัมปชัญญะ ให้การได้และประเมินแล้ว ไม่น่าจะถึงขั้นอันตรายสาหัส




หลังเกิดเหตุ คนร้ายได้โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่องของผู้เสียหาย เครื่องหนึ่งได้จากมือของผู้เสียหายและอีกเครื่องได้จากการล้วงกระเป๋า ก่อนที่จะนำโทรศัพท์ทั้งสองไปโยนทิ้งไว้ใต้กระถางต้นไม้ในละแวกนั้น เนื่องจากรู้สึกผิดและได้วิ่งสวนกับชุดสายตรวจที่ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาพอดี จึงเป็นเหตุให้ชุดสายตรวจสามารถจดจำรูปพรรณสัณฐานของคนรายได้ เนื่องจากมีพิรุธ จนมาพบว่าผู้เสียหายนอนได้รับบาดเจ็บ จึงแจ้งให้ทีมพยาบาลให้การช่วยเหลือและได้ประสานงานกับชุดสายตรวจและชุดสืบสวนลงพื้นที่เร่งติดตามคนร้ายและไล่ภาพจากกล้องวงจรปิด จนสามารถจับคนร้ายได้อย่างรวดเร็วในพื้นที่ไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ถือว่าเป็นการทำงานที่รวดเร็วของตำรวจ สน.บางยี่ขัน


เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดจริง โดยต้องการที่จะนำเงินไปหาซื้อสุรามาดื่มกิน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ทั้งคู่เมาสุรา แต่ตรวจไม่พบสารเสพติดแต่อย่างใด สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะต้องรอให้ทางผู้เสียหายมีอาการที่ดีขึ้นเพียงพอที่พนักงานสอบสวนจะสามารถสอบปากคำอย่างละเอียดได้ ส่วนผู้ต้องหาทั้งสองนั้น ทางพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย จะอยู่ในการควบคุมของพนักงานสอบสวน 48 ชั่วโมง คาดว่าจะนำตัวฝากขังต่อศาลอาญาตลิ่งชันได้ในวันพรุ่งนี้

เรือนจำคอนเนคชั่น! 2 คู่หูเดนคุก ดักกระทืบยามชิงทรัพย์