วันที่ 27 ก.พ.67 เมื่อเวลา 23.30 น.ของคืนที่ผ่านมา พ.ต.ท.จิรโรจน์ มงคลธนสุพัฒน์  สว.(สอบสวน) สภ.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ รับแจ้งมีเหตุยิงกันที่ บ้านดอนแสลงพัน หมู่ 4 ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง จึงประสานหน่วยกู้ภัยสยามรวมใจปู่อินทร์ เข้าร่วมตรวจสอบ

 

ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าบ้านปูนชั้นเดียวไม่มีเลขที่ พบศพ นายสุภเวช อายุ 57 ปี ตรวจสอบพบมีร่องรอยถูกยิงบริเวณชายโครงซ้ายทะลุด้านขวา 1 นัด โดยมีนายอดุล อายุ 66 ปี พี่เขยของผู้เสียชีวิตมีอาการมึนเมาสุรานั่งเฝ้าศพอยู่ตลอดเวลา

 

ส่วนผู้ก่อเหตุคือนายวชิรวิชญ์ อายุ 19 ปี ไม่ได้หลบหนีไปไหนยืนถือปืนขนาด 9 มม.รอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

 

ต่อมา พ.ต.ท.จิรโรจน์ มงคลธนสุพัฒน์  สว.(สอบสวน) พร้อมชุดสืบสวน สภ.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ นำตัวนายวชิรวิชญ์

มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพโดยระหว่างการทำแผนได้มีพี่สาวของนางผกาพร ได้เดินมาต่อว่าเรื่องมรดกอย่างดุเดือด

 

นายเพชร กล่าวระหว่างการทำแผนว่า ตนมีเรื่องกับลุงมาหลายครั้ง ส่วนใหญ่ตนเป็นคนถูกกระทำมากกว่า คืนเกิดเหตุตนนอนอยู่บนบ้านกับภรรยา ได้มีลุงกับพวกรวมนับ 10 คน มานั่งดื่มเหล้ากันที่ข้างบ้าน เหมือนจงใจจะมากลั่นแกล้งหรือหาเรื่อง

 

ช่วงเกิดเหตุตนถือปืนจริง แต่ไม่ได้ตั้งใจจะยิง เมื่อลุงเห็นปืนได้วิ่งเข้ากอดจะแย่งเอาปืน ทำให้ปืนลั่นใส่ ตนจึงผลักลุงออกไปแล้วล้มลงเสียชีวิตดังกล่าว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตาย แต่จะให้ไปขอขมาศพตนไม่ไปเพราะเจ็บมานานหลายปี ส่วนกรณีที่ลุงอ้างว่าจอดรถขวางนั้น ตรงนี้เป็นหน้าบ้านของตนเอง จอดทุกวัน ขณะลุงเพิ่งมาจอดและมีทางออกทางอื่น เหมือนจงใจแกล้งให้เกิดความรำคาญ

 

ต่อมาเราได้เดินทางไปที่เกิดเหตุและที่ดินข้อพิพาทของ 8 พี่น้อง โดยพบว่าที่ทั้งหมดอยู่บนถนนสายโชคชัย-เดชอุดม ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ มีพื้นที่ทั้งหมด 10 กว่าไร่ และมีทางเข้าออกเท่าที่เราสำรวจมีเพียงเส้นทางเดียว ที่พี่น้องทั้งหมดใช้ร่วมกัน

 

จากการสังเกตที่ดินฝั่งซ้ายมือ ที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ ซึ่งเป็นที่ดินของนายศุภชัย ผู้ตาย พบว่าทางนายศุภชัยผู้ตายได้นำลวดหนามมากั้นที่ดิน พร้อมกับติดป้าย “ใครทำรั้วของข้าพเจ้าเสียหาย ขอให้กรรมตามสนอง“

 

ถัดจากที่ดินของนายศุภชัย ฝั่งตรงข้ามขวามือเป็นที่ดินของลูกคนที่3.นางไก่ (ตายแล้ว) และ4.นางเป็ด หรือนางนวพร อายุ 60 ปี

 

ถัดจากที่ดินของนางไก่และนางเป็ด เป็นฟาร์มปศุสัตว์ของนายเพชรผู้ก่อเหตุ และบ้านที่เกิดเหตุ โดยบ้านที่นายเพชร อาศัยอยู่หลังคาสีฟ้าเป็นของลูกภรรยาคนแรกของคุณตา ซึ่งคุณตายกให้หลานซึ่งเป็นลูกจากภรรยาคนแรกของตา และหลานยกให้นายเพชรผู้ก่อเหตุมาอาศัยอยู่และเลี้ยงปศุสัตว์

 

ถัดจากบ้านนายเพชร เป็นบ้านของนางหมู หรือ นางรตนพร อายุ 62 ปี ลูกคนที่ 2 และนายอดุล พี่เขยผู้ตาย

 

ต่อจากนั้นเป็นบ้านเก่าแก่ดั้งเดิมของคุณตาหรือพ่อของลูกทั้ง 8 คน ซึ่งเมื่อก่อนผู้ก่อเหตุชายบ้านหลังดังกล่าวในการเก็บอุปกรณ์เครื่องมือทางการเกษตร แต่ปัจจุบันบ้านหลังดังกล่าวมีชื่อผู้ตายเป็นเจ้าของบ้าน

 

ขณะที่ที่ดิน ที่เป็นข้อพิพาทกันจะอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านของลูกลูกทั้งหมดโดยพบว่าได้มีการล้อมรั้วลวดหนามกั้นพื้นที่ไว้และได้มีการขึ้นป้ายไวนิล “พื้นที่ดินแปลงนี้ เป็นสิทธิ์ของนางผกาพร ได้ทำกินต่อจากบิดา นายสิทธิชัย โดยบอกกล่าวด้วยวาจาและเขียนหนังสือ ด้วยลายมือของพ่อ มอบให้เป็นหลักฐาน

 

ข้าพเจ้าได้ครอบครองทำกินมาตลอด โดยเปิดเผย อย่างถูกต้อง ตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบันนี้ ให้ลูกชาย คือนายวชิรวิชญ์ (ผู้ก่อเหตุ) เป็นผู้ช่วยดูแล ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนสิทธิทำกินของข้าพเจ้า“

 

นอกจากนี้ขณะที่เราสำรวจพื้นที่ทั้งหมดพบว่าบ้านของพี่น้องที่อยู่ฝั่งของผู้ตายได้มีการติดป้ายในลักษณะเดียวกัน คือ ใครทำรั้วของข้าพเจ้าเสียหาย ขอให้กรรมตามสนอง

 

ต่อมาเราได้รับคลิปเหตุการณ์ การโต้เถียงกันระหว่างผู้ตายที่สวมใส่เสื้อสีดำกับผู้ก่อเหตุที่ใส่เสื้อขาว ก่อนจะเกิดเหตุการณ์สลดขึ้น

 

พบว่า เมื่อวานตอนเช้าประมาณ 8 โมงเช้าเกิดไฟไหม้ที่กอไผ่ในที่ดินที่เป็นข้อพิพาทกันและทางผู้ตายมาแจ้งความดำเนินคดีกับลูกชายตน โดยกล่าวหาว่านายเพชรเป็นคนวางเพลิงกอไผ่ และจะทำให้บ้านไฟไหม้ ซึ่งตำรวจไม่รับแจ้งความ เนื่องจากว่าไม่มีชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ ไม่มีใครเป็นพยานได้ว่านายเพชรเป็นคนทำ

 

จึงทำให้เกิดมีปากเสียงกันด่าทอกันตามคลิป โดยในคลิปคนตายบอกว่า  ”มึงเก่งจัง ระวังๆ“ ก่อนจะท้าทายลูกตน “มาดิที่มึงท้าต่อย กูถ่ายหมดแล้ว”

 

จากนั้น นายเพชรบอกว่า “ก็มึงด่ากูอ่ะ”  ก่อนจะท้าทายกัน “มึงเข้ามาดิ” ซึ่งทั้งผู้ตายและนายเพชรมีการถ่ายคลิปเหมือนกัน ก่อนที่ฝั่งผู้ตายบอก“เดี๋ยวมึงจะได้รู้จัก หน้ามึงแหกมึงยังไม่เข็ด” “เดี่ยวมึงจะแหกมากกว่านี้อีก”

 

ขณะที่นายเพชร ได้บอกกับผู้ตาย ว่า “ตากูไม่มีลูกแบบมึง” ซึ่งคนตายก็บอก“ เอ้าตามึงก็พ่อกูนี่แหละ มึงออกจากรูไหนมา  ตาเลี้ยงมาอย่างดี”

 

แล้วคราวนี้เพชรบอกว่ามึงไปดูพินัยกรรมว่าพินัยกรรมเขียนว่าไง ฝั่งคนตายบอกว่า มึงไม่รู้กฎหมาย พินัยกรรมแม่มึงเขียน มันไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ฝั่งคนตายบอกว่าพินัยกรรมมันมีสามฉบับ

 

ฝั่งทางด้านแม่ผู้ก่อเหตุ นำมาเปิดเผยให้เราดูคลิปที่ฝั่งพี่น้องที่เหลือ เห็นคนตายได้ไปจ้างคนมาฉีดยาฆ่าหญ้าที่ผู้ก่อเหตุปลูกไว้ใช้สำหรับเลี้ยงวัว ควาย เนื่องจากนายเพชรผู้ก่อเหตุทำฟาร์มปศุสัตว์  จนทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวหญ้าไปเลี้ยงปศุสัตว์ได้

 

รวมทั้งปลาและกุ้งรวมทั้งหอยที่เลี้ยงไว้ได้รับผลกระทบจากยาฆ่าหญ้า  ทำให้ทางแม่ของคนก่อเหตุเกิดมีปากเสียงกับหนึ่งในพี่น้องด้วยกัน 

 

ขณะเดียวกันเราได้คุยกับ นางหมู นางรตนพร อายุ 62 ปี ทายาทคนที่2 แลและ นางเป็ด นางนวพร อายุ 60 ปี  ทายาทคนที่ 4 บอกว่า ตั้งแต่มีการจัดสรรที่สาธารณะตรงนี้ที่พ่อและทางตระกูลครอบครองกันมา พอพ่อแบ่งให้รอบแรก ก็เข้าใจในพื้นที่ที่พ่อให้เท่านั้นไม่ได้มองว่าใครได้มากกว่าน้อยกว่าหรือพื้นที่ตรงไหนยาวเท่าไหร่รู้แค่ของตัวเองได้เท่านั้น 

 

แต่พอพ่อเสียชีวิตแต่ละคนก็มีพื้นที่จัดสรรในการทำกินประมาณ 1 ไร่เศษเท่านั้น และพึงพอใจที่พ่อแบ่งให้เท่านี้ ไม่ได้อยากได้พื้นที่ทำกินที่เป็นพื้นที่พิพาทกันอยู่ โดยที่ผ่านมายอมรับว่าพี่น้องแต่ละคนก็อยู่ที่กรุงเทพมหานครและในทุกช่วงเทศกาลจะกลับมาเยี่ยมพ่อตลอด จนพ่อเสียชีวิต

 

จนกระทั่งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมากลับมาบ้าน เห็นว่าพื้นที่หรือที่ดินของตนเองและพี่น้องทั้งหมดถูกทางด้านนางผกาพร น้องสาวคนที่ 7 เข้าไปปลูกข้าว ปลูกไร่ทำนา ทำการเกษตร ซึ่งพวกตนเองเห็นว่าไม่ถูกต้องที่นางผกาพรจะบุกรุกเข้ามาทำกินในพื้นที่ของตนเอง

 

จากนั้นก็เริ่มที่จะแตกคอกันตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็มีการโต้แย้งเรื่องพื้นที่ทำกินกัน จนกระทั่งมีการฟ้องร้อง โดยนางผกาพรฟ้องร้องพี่ทุกคนว่าลุกล้ำเข้าไปทำมาหากินในพื้นที่ของนางผกาพรที่ได้รับการจัดสรรเอาไว้ จนกระทั่งมีการฟ้องศาลชั้นต้นฝั่งตนเองชนะ และศาลอุทธรณ์ ศาลตัดสินนางผกาพรชนะ รวมถึงตอนนี้ได้ยื่นเรื่องให้กับศาลฎีกา โดยศาลรับคำร้อง และจะมีการนัดกันขึ้นศาลอีกครั้งหนึ่งในเร็วเร็วนี้

 

ขณะที่เมื่อปัญหากันในเรื่องที่ดิน ยอมรับว่าผู้ตายซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นลูกคนที่ 5 ไม่ยอมรับว่าพ่อได้แบ่งที่ดินให้นางผกาพรมากกว่าพี่น้องคนอื่น ทุกคนต้องได้รับความเป็นธรรม ผู้ตายจึงขอเป็นผู้จัดการมรดก และอยากที่จะแบ่งพื้นที่ใหม่ให้กับพี่น้องทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน แต่ว่าทางพี่น้องก็บอกว่าไม่เป็นไร มันจะเป็นมรดกนองเลือด เพราะตนเคยบอกพ่อไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าให้แบ่งกันให้ชัดเจน เพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ ว่าพี่น้องฆ่ากัน เพราะแย่งมรดก และไม่คิดว่าจะเป็นจริง

 

นางรตนพร ยังบอกอีกว่า ครอบครัวเริ่มแตกหักและไม่นับถือนางผกากรเป็นพี่น้อง ตัดขาดกันตั้งแต่มีเรื่องกันแล้ว เนื่องจากว่านางผกาพรจะเอาพื้นที่ทำกินทั้งหมด แถมยังจะเอาพื้นที่ของพี่น้อง

 

ขณะที่ผู้ตาย เคยบอกว่ากับพี่น้องคนอื่นว่า หากมีการฟ้องการเสร็จสิ้นหมดแล้วก็จะแบ่งพื้นที่ให้ลูกให้หลานและตัวเองจะไปบวช

 

นอกจากนี้ทางด้านตนเองไม่เชื่อว่าพินัยกรรมที่พ่อเขียนไว้เมื่อปี 53 เป็นพินัยกรรมจริง เนื่องจากลายมือตัวหนังสือที่พ่อเขียนไม่มีความคล้ายคลึงกับลายมือที่ตนเองเคยเห็น

มรดกเลือด! หลานปืนโหดดักยิงลุงดับอนาถจบศึกที่ดิน 10 ไร่