จากกรณีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2566 เวลา 18.30 น. เจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยอมรินทร์ลำปาง, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขลางค์นคร, เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน และแพทย์เวรโรงพยาบาลลำปาง ได้เดินทางไปตรวจสอบบริเวณบ้าน ตำบลชมพู อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง หลังรับแจ้งมีเหตุผูกคอตายจำนวน 2 ราย ซึ่งจุดเกิดเหตุเป็นบ้านไม้ผสมปูน 2 ชั้น โดยบริเวณบันไดขึ้นบ้านชั้น 2 ในบ้าน ติดกับห้องครัวหลังบ้านพบศพผู้เสียชีวิต 2 รายเป็นแม่และลูกกัน

ศพแรกคือผู้เป็นแม่ นางกิมทอง อายุ 64 ปี ศพที่สอง คือนายวรเชษฐ์ อายุ 45 ปี โดยทั้งสองคนนั้นผูกคอเสียชีวิตด้วยเชือกไนลอน บริเวณราวบันไดทางขึ้นบ้าน คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง สภาพศพทั้งสองนั่งย่อเข่า ตัวติดกัน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสภาพศพทั้งคู่ ไม่พบร่องรอยฆาตกรรมและบาดแผลจากการถูกทำร้ายแต่อย่างใด



ล่าสุดวันนี้ (29 ธ.ค.66) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงหน้าบ้านของนางกิมทอง (ผู้ตาย) ก็พบว่าบริเวณรั้วหน้าบ้านนั้นมีการพ่นสีสเปรย์สีแดงคำว่า “เงินโกง” และภายในบริเวณบ้านมีคราบน้ำมันเครื่องอยู่ทั่วบริเวณ นอกจากนี้ที่เสาไฟฟ้าพบว่ามิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านนางกิมทองถูกตัดไฟไปแล้ว และจากการสอบถามชาวบ้านพบว่ามีเงินกู้หลายรายแวะเวียนมาเก็บเงินบ้านผู้ตาย ซึ่งทั้งหมดอาจเป็นสาเหตุให้ผู้ตายเครียดจึงก่อเหตุดังกล่าวก็เป็นได้

ล่าสุด ทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดในวันที่ 26 ธันวาคม 2566 เวลา 18.55 น. โดยสามารถจับภาพนาทีที่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 1 ซึ่งเป็นชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาในหมู่บ้าน จากนั้นก็ได้ไปจอดอยู่ที่หน้าบ้านของนางกิมทอง และก็มีชายลงมาจากรถ 1 คน พร้อมทำท่าทีด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขี่รถจักรยานยนต์ออกไป

จากนั้นในเวลา 19.11 น. (26 ธ.ค. 2566) เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นชาย 2 คน ได้ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาในหมู่บ้าน และไปจอดอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านของนางกิมทอง แต่ก็ไม่มีใครลงมาจากรถ แล้วก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปทันที



และในเวลา 21.14 น. (26 ธ.ค. 2566) เจ้าหนี้กลุ่มที่ 1 ก็ได้ย้อนกลับมาที่บ้านนางกิมทองอีกครั้ง และหนึ่งในเจ้าหนี้ก็มีการลงจากรถ พร้อมท่าทีก้ม ๆ เงยๆ เพื่อทำการฉีดพ่นสเปรย์ที่บริเวณรั้วหน้าบ้านของนางกิมทอง จากนั้นก็ได้ขี่รถจักรยานยนต์คันเดินหลบหนีไป

ต่อมาในวันที่ 28 ธ.ค. 2566 เวลา 16.30 น. ทางด้านของนายเพลิน ซึ่งเป็นสามีของนางทองกิมก็ได้ขับรถกระละสีขาวเข้ามาที่บ้าน ซึ่งเป็นจังหวะที่นายเพลินได้เข้าไปพบภรรยาและลูกเลี้ยงของตัวเองได้ผูกคอเสียชีวิตแล้ว และหลังจากมีการพบศพสองแม่ลูก ในเวลา 17.01 น. (28 ธ.ค. 2566) เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ

ทีมข่าวจึงได้พูดคุยกับ น.ส.สา (นามสมมติ) เป็นเพื่อนบ้านของผู้ตาย เล่าว่า นางกิมทองนั้นเพิ่งย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้ประมาณ 1 ปี ซึ่งที่ผ่านมานางกิมทองจะเก็บตัวเงียบไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ตอนเช้าก็จะออกไปทำงาน ตกเย็นก็กลับเข้าบ้าน ซึ่งนางกิมทองจะไม่พูดไม่คุยกับใครเลย



ในส่วนของการพ่นสีสเปรย์หน้าบ้าน ตนนั้นไม่ได้เห็นว่าใครเป็นคนพ่น แต่เท่าที่ตนเห็นคือเมื่อ 2 วันก่อน มีคนนำรูปนางกิมทองไปโพสต์ตามเพจเฟซบุ๊ก ลักษณะเป็นการแฉว่านางกิมทองมีการฉ้อโกงเงินคนมากกว่า 30 ราย จำนวนเงินร่วมล้านบาท ซึ่งคนในหมู่บ้านก็นำเรื่องนี้มาพูดกันปากต่อปาก ว่าคนในรูปที่ถูกแฉคือนางกิมทอง เพราะนอกจากมีคนโพสต์ตามเพจเฟซบุ๊กแล้ว ยังเคยมีเจ้าหนี้บุกมาทวงเงินถึงหน้าบ้านนางกิมทองอยู่บ่อย ๆ ซึ่งตนก็ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่เรื่องนี้ตนมองว่าต้องเข้าใจทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้อย่างนางกิมทอง

ตนก็รู้สึกเห็นใจกับเจ้าหนี้ซึ่งเขาอาจจะถูกโกงมาจริง ๆ แต่ก็รู้สึกหดหู่ที่นางกิมทองตัดสินใจจบชีวิตตัวเองพร้อมกับลูกชาย คิดว่าเขาคงถึงทางตัน หาทางออกไม่ได้ หลังจากทราบเรื่องเมื่อวานนี้ น.ส.สา ก็ยอมรับว่าตกใจถึงกับนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน



ต่อมาในเวลา 13.00 น. ที่วัดม่อนกระทิง ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งทำพิธีสวดศพของนางกิมทอง และนายวรเชษฐ์ โดยคนในครอบครัวและญาติได้มีการนำร่างของสองแม่ลูกตั้งคู่กัน และมีการทำพิธีสวดเพียงแค่ 1 วัน จากนั้นทำพิธีตัด
สายสัมพันธ์ระหว่างนางกิมทอง (ผู้ตาย) กับนายเพลิน (สามี) และทำพิธีการฌาปนกิจในทันที ซึ่งบรรยายกาศเป็นไปด้วยความสงบ เรียบง่าย

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายเพลิน ซึ่งเป็นสามีของนางกิมทองและเป็นพ่อเลี้ยงของนายวรเชษฐ์ โดยทีมข่าวก็ได้ถามถึงปมเรื่องหนี้สินว่าจริงเท็จแค่ไหน ทางด้านนายเพลินก็ตอบเพียงสั้น ๆ ว่า ปัญหาหนี้สินคงไม่ใช่สาเหตุในการตัดสินใจจบชีวิต แต่อาจเป็นความเครียดสะสมเพราะช่วงนี้นางกิมทองไม่ค่อยมีรายได้ เนื่องจากการค้าขายไม่ค่อยราบรื่น แต่ตนก็ไม่รู้อะไนมากนัก เพราะนางกิมทองตะไม่ค่อยเล่าปัญหาให้ฟังเลย

จากนั้นทางด้านญาติ ๆ ก็ได้เข้ามาพาตัวของนายเพลินออกไปทันที พร้อมกับบอกว่ายังไม่พร้อมที่จะพูดคุย ขอให้พอแค่เพียงเท่านี้