ทนายชัช กลุ่มทนายใจดีรับเรื่องร้องเรียนจากพี่ชายเสี่ยแป้ง ร้องขอความเป็นธรรมหลังถูกคุกคาม

วันที่ 3 ธ.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุงว่า จากกรณีที่ พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผช. ผบ.ตร. พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ก.9 และพล.ต.ต.ณฐกรญ์ กาญจนาภรณ์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง พร้อมพวก ได้เปิดปฏิบัติการจู่โจมปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายหลายจุดในพื้นที่จังหวัดพัทลุง สามารถตรวจยึด 1.อาวุธปืนเล็กยาว HK 33 ขนาด 5.56 x 4.5 มม. จำนวน 1 กระบอก 2.ซองกระสุนปืน(แม็กกาซีน) ที่บรรจุกระสุนเต็มอัตราพร้อมใช้ อีกจำนวน 5 ซอง กระสุนปืนขนาด 5.56 x 4.5 มม. จำนวน 142 นัด และแจ้งผู้กล่าวหาไป 4 ราย ในขณะที่ผู้ต้องหารายที่ 5 คือ นายกัมปนาท สารวัตรกำนัน ต.วังใหม่ อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ได้แอบเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สภ.ตะโหมด แล้ว หลังจากหลบหนีไปก่อนหน้านี้



ต่อมากลุ่มบุคคลที่ถูกนายแป้งฯ กล่าวพาดพิงในคลิป ได้เดินทางมาให้ปากคำต่อ พล.ต.ต.โอภาส ทั่งทอง ผบก.กต.9 จต. และคณะ ที่ห้องประชุมตำรวจจังหวัดพัทลุง ชั้น 3 โดยเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 66 นายจรวด อายุ 28 ปี เป็นรายแรกที่เข้ามาให้ปากคำต่อตำรวจ ส่วนวันที่ 2 ธค. 2566 ผู้เข้ามาให้ปากคำ ประกอบด้วย ร.ต.ต.ธีระวุฒิ หน.สายตรวจ สภ.บ้านในควน อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง จ.ส.อ.สมมิตร ทหารสังกัด ช.พัน 402 ค่ายอภัยบริรักษ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง นายสมชาย อดีตประธานสภาเทศบาลปรางหมู่ อ.เมืองพัทลุง และนายไสว ผู้สื่อข่าวภูมิภาค ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุด วันนี้ มีรายงานว่านายสมชาย ซึ่งเป็นพ่อของนายจรวดได้เดินทางเข้ามาให้ปากคำต่อตำรวจ โดยขึ้นไปรอให้ปากคำบนชั้น 3 เมื่อเวลาประมาณ 07.30 น. เพื่อมิให้กลุ่มผู้สื่อข่าวได้ถ่ายภาพและสัมภาษณ์ ส่วนนายพงศ์พิพัฒน์ (อัยการบอย) คาดว่าน่าจะให้ปากคำต่อสำนักงานจเรตำรวจในกรุงเทพฯ เนื่องจากเจ้าตัวได้มีคำสั่งไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนกลางแล้ว

ส่วนของนายกัมปนาท ซึ่งเป็น 1 ใน 5 กลุ่มผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวภายหลัง ทางด้านนายพรพนม จันทรเทพ นายอำเภอป่าบอน จ.พัทลุง เผยว่า ในขณะนี้ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น 1 ชุด เพื่อเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่นายกัมปนาทตกเป็นผู้ต้องหาในการพาคนร้ายหลบหนี ว่าเรื่องดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอย่างไร เพื่อมิให้ภาพลักษณ์ของฝ่ายปกครองใน อ.ป่าบอน ได้รับความเสียหาย

ด้านทนายชัช หรือว่าที่ ร.ต.ชัชวาลย์ บำรุงวงค์ อายุ 52 ปี ทนายกลุ่มทนายใจดี ได้เดินทางมายังบ้านของนายกษิดิ์ชาติ ทองด้วง พี่ชายของเสี่ยแป้ง ภายหลังที่ทางเจ้าตัวได้รับเรื่องร้องทุกข์จากญาติของเสี่ยแป้ง ในเรื่องของผลกระทบจากการเข้าบุกตรวจค้นบ้าน และมีการจับกุมแจ้งข้อหาในการช่วยเหลือเสี่ยแป้งไปก่อนหน้านี้ตามที่ได้มีการเสนอข่าว

ซึ่งทางครอบครัวของนายกษิดิ์ชาติได้เน้นย้ำกับสื่อมาโดยตลอดว่า ที่ผ่านมาแม้ว่าทางเจ้าตัวตัวเองจะให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยในส่วนของขั้นตอนกระบวนการแจ้งข้อหา ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ซึ่งบรรยากาศที่บ้านของนายกษิดิ์ชาติได้มีการเตรียมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องและยืนยันความบริสุทธิ์ใจให้กับทางทนายชัช ซึ่งเอกสารดังกล่าวจะเป็นในส่วนของการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มบริเวณหน้าโรงพยาบาลพัทลุง รวมไปถึงเอกสารเกี่ยวกับการเดินทางเข้าไปรักษาอาการป่วยเนื่องจากก้างปลาทิ่มคอ ที่คลินิกแห่งหนึ่งในพื้นที่พัทลุง

บางช่วงบางตอนทนายได้มีการสอบถามและขอข้อมูลรายละเอียด รวมไปถึงมีการสอบถามข้อมูลถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 11 พ.ย. 2566 ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายศาลจังหวัดพัทลุง เข้าค้นบ้าน รวมถึงพี่ชายของเสี่ยแป้งได้เล่าข้อมูลหรือเหตุการณ์ให้กับทนายชัชรับทราบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเข้ามาตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ซึ่งทราบว่าเป็นของส่วนกลาง ร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ร้อยเวรในพื้นที่นำหมายศาลเข้ามาตรวจค้น แต่ไม่ได้มีการแสดงหมายจับหรือหมายเรียกแต่อย่างใด โดยพฤติการณ์ในวันนั้นทางเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นได้เชิญตัวเพื่อไปให้ข้อมูลหรือรายละเอียดที่ สภ. เมืองพัทลุง แต่สุดท้ายเมื่อไปถึงสภ. ก็กลับมีการแจ้งข้อหาและนำตัวเข้าห้องขังเป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะส่งศาลและให้ทางครอบครัวญาติไปประกันตัวที่ชั้นศาล ยืนยันก่อนการเข้าตรวจค้นหรือแจ้งข้อหาไม่ได้มีหมายเรียกหรือหมายจับมาที่บ้าน ซึ่งทางพี่ชายของเสี่ยแป้งเองได้ให้ข้อมูลกับทนายว่าค่อนข้างรู้สึกตกใจและเสียความรู้สึก เพราะส่วนตัวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือให้ความช่วยเหลือกับเสี่ยแป้งตามที่มีการตั้งข้อหา ทั้งที่ตนเองปฏิเสธตั้งแต่ชั้นสอบสวน

ขณะที่ในส่วนของผลกระทบของครอบครัว โดยหลักก็จะเป็นในส่วนของลูกที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นมหาวิทยาลัย เนื่องจากหลายคนเองที่ไม่เข้าใจ ก็มีการตีตราว่าตนในฐานะพ่อเป็นผู้กระทำความผิด รวมไปถึงญาติและบุคคลอื่นที่มีการพาดพิงถึง

ต่อมา ทนายชัช ได้เปิดเผยข้อมูลว่า สำหรับเหตุการณ์ที่ได้เดินทางมาพบกับทางญาติวันนี้ เนื่องจากทางตนเองได้รับการประสานมาจากครอบครัวและญาติของเสี่ยแป้ง หลังจากที่ตกเป็นข่าวและมีการเข้ามาตรวจค้นบ้าน รวมไปถึงมีการตั้งข้อหา ตลอดจนในส่วนของครอบครัวญาติบางรายยังหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่กล้าที่จะออกมาพูดคุยหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกและเรื่องของคดีความ ทำให้ตนเองเดินทางมาเพื่อพูดคุยกับทางด้านนายกษิดิ์ชาติ ในฐานะมีศักดิ์เป็นพี่ของเสี่ยแป้ง ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ทนายได้รับทราบข้อมูล ก็พอจะทำให้ทราบเรื่องว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่มีการเข้ามาตรวจค้น อาจจะเชื่อมโยงมาจากข้อสันนิษฐานของทางสถานีตำรวจ หลังจากทราบว่าทางเสี่ยแป้งได้มีการหลบซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณเทือกเขาบรรทัด สอดคล้องกับทางด้านพี่ชายที่ทำงานอยู่ในส่วนของกรมอุทยานรับผิดชอบบริเวณเทือกเขาบรรทัด เลยทำให้มีการเชื่อมโยงว่าพี่ชายให้ความช่วยเหลือ

จากการสอบถามในส่วนของพี่ชายเสี่ยแป้ง ยอมรับว่า ในมุมของข้อกฎหมายเบื้องต้นค่อนข้างพบความผิดปกติบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเด็นหมายเรียก หมายจับ หรือขั้นตอนในการแจ้งข้อหา ตลอดจนในส่วนของกรณีที่ทางพี่ชายเสียแป้งโดนตั้งข้อหามาตรา 192 เกี่ยวกับกรณีให้ความช่วยเหลือ ซึ่งจริงแล้วโทษไม่เกิน 3 ปี หากเป็นขั้นตอนกระบวนการตามปกติก็จะต้องมีการออกหมายเรียก ซึ่งในส่วนของผู้ที่ถูกออกหมายเรียกก็ มีสิทธิ์จะไปหรือไม่ไปตลอดจนสามารถ หาทนายเพื่อมาสู้คดี หลังจากนี้ในฐานะทนายความ ตนเองก็นำหลักฐานและข้อมูลที่ได้รับเพื่อไปเรียกร้องความเป็นธรรมในลำดับต่อไป

ซึ่งข้อมูลที่ได้รับนั้น ทางญาติของเสี่ยแป้งมองว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งในส่วนของการเชิญตัวหรือสอบสวนผู้ถูกกล่าวหา ก็ไม่ได้มีทนายความเข้าไปให้คำปรึกษา ตลอดจนในส่วนของเหตุการณ์ช่วงที่มีการเข้ามาค้นบ้านและไม่ได้มีการแจ้งข้อหาแต่ทางสถานีตำรวจเองก็กลับไม่ให้สิทธิ์เขาติดต่อหรือประสานบุคคลอื่น ซึ่งในส่วนนี้ตนเองก็ต้องเข้าไปไปดูในรายละเอียดและหากพบความผิดปกติก็คงจะต้องมีการร้องเรียน ตาม ป.วิอาญา ว่าทางเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นได้ทำถูกต้องตามกระบวนการและขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งหากตรวจสอบแล้วพบความผิดปกติก็อาจจะต้องมีการร้องเรียนตามข้อกฎหมายหรืออาจจะร้องเรียนในส่วนของวินัยและประพฤติมิชอบ หรืออาจตะขัดต่อ พ.ร.บ.อุ้มหายหรือไม่ แต่เบื้องต้นส่วนตัวจะขอร้องความเป็นธรรมให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ร้องเรียนไปที่ตำรวจภูธร ภาค 9

ส่วนก่อนหน้านี้ที่มีกระแสข่าวว่า ภายหลังที่มีการปล่อยคลิปตัวที่ 3 ออกมา เสี่ยแป้งจะมีการเข้ามอบตัวภายใน 4-5 วัน ซึ่งภายหลังที่มีการปล่อยคลิปยอมรับว่าทางทนายความเองก็ไม่ได้รับสัญญาณหรือมีการสื่อสารลักษณะ ว่าทางเจ้าตัวจะต้องออกมามอบตัวหรือไม่ ส่วนตัวไม่ทราบผมจะมอบตัวหรือไม่มอบตัว แต่ตนก็ได้ทำหน้าที่ในฐานะทนายความที่มีการส่งสาร หรือนำเอกสารที่ทางเสี่ยแป้ง ส่งผ่านมา การจะมอบตัวหรือไม่มอบตัวก็ถือเป็นการตัดสินใจของเขา

ขณะที่ นายกษิดิ์ชาติ เผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการเข้าบุกค้นบ้านตอนนั้น เป็นเหตุการณ์เชื่อมโยงจนทำให้ทางตนเองเดือดร้อน รวมไปถึงกระทบในส่วนของหน้าที่การงานเนื่องจากตนเองก็รับราชการ เพราะหลังจากที่มีกระแสข่าวลือและทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ได้เข้ามาตรวจคนที่บ้านของตนนั้น ตนเองก็พร้อมให้ความร่วมมือเนื่องจากบริสุทธ์ใจ และพร้อมให้เข้าตรวจค้น ตลอดจนได้เดินทางไปที่ สภ.เมืองพัทลุง เพื่อให้ข้อมูลให้ปากคำ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการระบุว่า เป็นการเชิญตัวไปให้ข้อมูล แต่สุดท้ายแล้วปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาช่วยผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด

โดยให้เหตุผลว่าพฤติการณ์ของตนนั้น เป็นการช่วยเหลือในเรื่องของการจัดเตรียมในส่วนของเสบียงและอาหารให้กับทางเสี่ยแป้งเพื่อนำขึ้นเขาหลบหนี ซึ่งในความจริงตนไม่ได้มีพฤติการณ์ตามที่ระบุ จึงตัดสินใจขอยื่นประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินจำนวน 36,000 บาทออกมาเพื่อสู้คดีต่อในชั้นศาล อีกทั้งในส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจเองยังมีการให้ข้อมูลถึงสาเหตุของการแจ้งข้อหาว่า มีการตรวจสอบแล้วพบว่าตนเองได้มีการเดินทางไปกดเงินผ่านตู้ ATM แถวบริเวณโรงพยาบาลพัทลุง เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา ภายหลังที่ทางเสี่ยเเป้งหลบหนี โดยมีการกดเงินมาจำนวนหลักหมื่น รวมไปถึงส่วนตัวมีนามสกุลและความสนิทสนมกับเสี่ยแป้ง เลยมีการตั้งข้อสงสัยว่าการกดเงินดังกล่าวในวันนั้นเป็นการนำไปเพื่อซื้อเสบียงหรืออุปกรณ์ให้กับเสี่ยแป้งในการหลบหนีหรือไม่ ซึ่งความจริงแล้วตนเองพร้อมมีหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามที่มีการระบุของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เป็นเหตุการณ์จริงที่ตนเองเดินทางไปโรงพยาบาล เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ ซึ่งต้องเข้าไปหาหมอที่โรงพยาบาล ก่อนที่จะแวะกดเงินเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายให้กับทางภรรยา ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับประเด็นเสี่ยแป้งแต่อย่างใด รวมไปถึงในส่วนของที่เสียแป้งหลบหนี

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในช่วงที่มีการคุมตัวตนไปที่สภ. เมืองพัทลุงนั้น ภายหลังทางภรรยาได้มีการเดินทางตามไปเพื่อไปดำเนินการเรื่องเอกสารให้ แต่กลับโดนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจข่มขู่ ตลอดจนมีการให้ทางภรรยาเซ็นเอกสารบางอย่างโดยที่ทางครอบครัวเองก็ไม่ได้รับเอกสารที่มีการเซ็นกลับมา

วันนี้ ตนเองออกมาเพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับทางตนเองและครอบครัวที่ถูกพาดพิง ตนเองไม่ได้จะกล่าวหาทางเจ้าหน้าที่ แต่อยากทราบในมุมของความเป็นจริงว่าการกระทำดังกล่าวนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่