นครพนม ฮือฮา ผู้กำกับหนังสั้น ชาวอิสราเอล โผล่ร่วมงานศพ หนุ่มแรงงานไทยเสียชีวิตจากอิสราเอล ศพกลับถึงไทย พบเคยเป็นพระเอกหนังสั้น แต่ถ่ายทำยังไม่จบ ผู้กำกับ เผยพล็อตเรื่อง พระเอกต้องตายจากภัยสงคราม สุดท้ายตายจริง ต้องมาถ่ายงานศพ ฉากสุดท้ายถึงไทย

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ จ.นครพนม กลายเป็นที่ฮือฮากลางงานศพ ของแรงงานไทยในอิสราเอล นายเศรษฐา โฮมสร หรือต้อม อายุ 36 ปี ชาวบ้านหนองเดิ่นพัฒนา ต.บ้านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม แรงงานไทยผู้เคราะห์ร้าย ที่ไปทำงานอิสราลถูกทหารฮามาสทำร้ายจนเสียชีวิต ถือเป็นรายที่ 2 ของจังหวัดนครพนม โดยทางรัฐบาลไทย พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ได้ประสานนำศพส่งกลับไทย บ้านเกิดนครพนมเพื่อมาบำเพญกุศล ตามประเพณี ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยนายเศรษฐา เป็นแฝดคนน้อง ที่ไปทำงานที่อิสราเอลทั้งคู่ ส่วนแฝดคนพี่ คือ นายเจษฎา โฮมสร หรือตั๊ม อายุ 36 ปี รอดชีวิตกลับถึงบ้านปลอดภัย หลังไปทำงานที่อิสราเอลได้ประมาณ 4 ปี





ขณะเดียวกันกลายเป็นที่ฮือฮาระหว่างจัดงานศพ เนื่องจาก ได้มี Mr.Jonatan (โจนาธาน) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Tom (ทอม) อายุ 30 ปี ผู้กำกับหนังชาวอิสราเอล ได้เดินทางมาร่วมงานศพพร้อม เปิดเผยข้อมูลผ่านล่ามว่า ตนเป็นผู้กำกับหนังสั้นชาวอิสราเอล กำลังสร้างหนังสั้นมา 1 เรื่อง แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ ในเนื้อเรื่องต้องการนำเสนอเกี่ยวกับชีวิตของแรงงานไทยตามแนวชายแดน และมีโอกาสได้รู้จักกับ นายเศรษฐา แรงงานไทยมรอิสราเอลที่เสียชีวิต พร้อมทาบทามให้เป็นพระเอกหนังสั้น ถ่ายทำมากว่า 2 ปีแล้ว เพราะจะต้องเก็บรายละเอียดในการทำงานของแรงงานไทยทุกขั้นตอน



รวมทั้งตัวแสดงต้องวิ่งหนีระเบิดที่ยิงมาจากฝั่งปาเลสไตน์ และบทสุดท้ายของเรื่องพระเอกจะต้องถูกยิงตาย สุดท้ายไม่คิดเลยว่า พล็อตเรื่องของหนังสั้นตนจะกลายเป็นเรื่องจริง เพราะนายเศรษฐา พระเอกในเรื่อง เขียนบทไว้จะต้องถูกฆ่าตายจากน้ำมือของกลุ่มฮามาส ตนในฐานะผู้กำกับนอกจากจะเสียใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว และเพื่อให้หนังสั้นจบบริบูรณ์ จึงเดินทางมาถ่ายทำตอนที่มีการฌาปนกิจศพ และจะอยู่กับครอบครัวของนายเศรษฐาประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นจะนำไปสู้ขบวนการตัดต่อก่อนนำออกฉาย เมื่อถ่ายทำเสร็จสมบูรณ์ มีความตั้งใจว่าจะส่งฉายทั่วโลก และได้มีโอกาสมาแสดงความเสียใจกับครอบครัว ผู้เสียชีวิตด้วย



ส่วนนายเจษฎา หรือตั๊ม แฝดพี่ที่รอดชีวิตกลับถึงบ้านปลอดภัย เผยว่า นายเศรษฐาเป็นแฝดคนน้อง ส่วนตนเป็นแฝดพี่ ไปทำงานที่อิสราเอลได้ ประมาณ 4 ปี และมีน้องชายคนสุดท้องอีกคน คือ นายป้อม อายุ 32 ปี เดินทางไปทำงานด้วยกัน รวม 3 คน เพราะมีรายได้ดี จึงชักชวนกันไปทำงานในฟาร์มเกษตร ถึงรู้ว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงสงคราม แต่ไม่เคยเกิดความรุนแรง จนกระทั่งวันเกิดเหตุ ทหารฮามาสบุกเข้ามาจับ แฝดคนน้องไปทำร้ายจนเสียชีวิต แต่ตนอยู่คนละแคมป์คนงานจึงหนีเอาตัวรอดทัน และมาทราบภายหลังว่าแฝดคนน้องเสียชีวิต และประสานเจ้าหน้าที่ พิสูจน์อัตลักษณ์ และนำศพกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด ยอมรับเสียใจมาก ต้องสูญเสียคนในครอบครัว แต่หากสงครามสงบ อยากกลับไปทำงานอีก เพราะเชื่อมั่นว่า จะเป็นทางเดียวที่จะสามารถสร้างฐานะให้ดีขึ้น เพราะค่าแรงานในไทยต่ำ