จากกรณีแม่วัย 65 ปี ถูกลูกชายเมายาบ้าจะทำร้ายร่างกาย และขู่ว่าหากไม่ได้เสพจะจับแม่ทำเมีย จนแม่ต้องใช้ยากันยุงพ่นใส่ปากลูกชายจนนอนสลบไป เหตุเกิดภายในห้องพักของเอื้ออาทรสุวรรณภูมิ 2 ตึก 4 ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ

ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (15 ส.ค. 2566) ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาที่ห้องพักซึ่งเป็นห้องที่เกิดเหตุ และเป็นห้องที่นายเอ๋ ลูกชาย กับนางจงจิตร แม่ของเอ๋ อยู่กันสองคนภายในห้องพัก พบนายเอ๋และแม่อยู่ห้องพักสองคน ไม่ได้แยกกันพักอาศัยเหมือนเมื่อวานนี้ เพราะเมื่อวานนี้แม่กลัวลูกคลั่งแล้วมาทำร้ายจึงล็อกห้องและอยู่คนเดียวในห้องพัก

ทีมข่าวพบกับนายเอ๋ ซึ่งนอนซมอยู่ในห้องพักและนอนบนพื้นระหว่างทางเดินในห้อง ตอนที่ทีมข่าวเข้าไปเจ้าตัวไม่ได้นอนหลับ จึงเข้าไปสอบถามก็ตอบว่า มีอาการปกติดีหลังแม่พ่นยากันยุงใส่ปากตน ยังดีที่ตอนนั้นตนรีบอาบน้ำ แปรงฟัน และล้างหน้าทัน ยืนยันที่นอนซมและเก็บตัวในห้องไม่ได้เป็นผลกระทบจากการถูกแม่พ่นยากันยุงใส่ปาก แต่เป็นเพราะอาการเมื่อยล้าจากการช่วยแม่เก็บขยะช่วงดึกที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วง 01.00 น. - 03.00 น. ซึ่งต้องยกลังเบียร์ ยกขวด รวมทั้งคัดขยะตั้งแต่เช้ามืด

ตนขอเปิดใจว่าไม่ได้โกรธแม่ที่แม่พ่นยากันยุงใส่ปากตนเมื่อวานนี้ ยังรักแม่เหมือนเดิม เพราะทุกวันนี้ก็อยู่กันเพียงสองคนในห้องพัก มีกันแค่นี้ ยืนยันตั้งแต่ช่วยแม่เก็บขยะช่วงดึกที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เสพยาบ้าสักเม็ด แต่เมื่อวานนี้มีขอแม่หนึ่งเม็ดเพราะสภาพร่างกายไม่ไหวแล้วต้องลุยงานหนักจึงจำเป็นต้องกินยาบ้า ปกติแล้วจะเสพยาบ้าวันละ 2-3 เม็ด

โดยตนเสพยาบ้ามานาน 25 ปีแล้ว เสพมาตั้งแต่สมัยตอนอายุ 18 ปี สมัยก่อนเสพยาบ้าหนักมากวันละประมาณ 10 เม็ด จากการที่เพื่อนชวนเสพ ใช้วิธีเสพเข้าไปโดยใช้อุปกรณ์ช่วย เคยจะหยุดเสพหลายรอบแต่ทำไม่ได้ ยืนยันว่า ทุกวันนี้หากวันไหนไม่ได้เสพยาบ้าก็ไม่ได้ถึงกับคลุ้มคลั่งจะทำร้ายร่างกายแม่ แต่อาจมีบ้างที่พูดจาไม่ดีและพูดจาหยาบคายกับแม่ แต่ที่ทำลักษณะนั้นไม่ได้เกี่ยวกับที่คลั่งเสพยาบ้า แต่เพราะแม่เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แล้วชอบบ่นชอบด่าตน บางครั้งก็ตีตน ตนก็เลยด่าแม่คืน

ที่ผ่านมา ตนทราบว่าแม่พยายามเอาตัวตนไปบำบัดรักษายาเสพติดรวมทั้งพาไปหาหมอจิตเวช ซึ่งทุกครั้งที่ไปหาหมอหมอก็จะแนะนำให้เลิกยาเสพติด แต่ตนก็ยังทำไม่ได้ แต่ตอนนี้กลัวตำรวจจะมาจับตนอีกรอบ ก็เลยจากพยายามเลิกยาเสพติดให้หายขาด

ต่อมานายเอ๋ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนที่จะไปทำงานเก็บขยะ โดยทีมข่าวได้ตามไปเฝ้าสังเกตการณ์ด้วย ระหว่างที่ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายเอ๋ตอนไปเก็บขยะ สังเกตเห็นว่าวันนี้นายเอ๋มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และมีอาการดีขึ้นจากเมื่อวานนี้ ซึ่งเมื่อวานนี้นายเอ๋อยู่ในสภาพนอนตลอดทั้งวันหลังจากหมดฤทธิ์ยาเสพติดจึงทำให้หมดแรงและมีอาการอ่อนเพลีย แต่วันนี้นายเอ๋ยังไม่ได้เสพยาเสพติด แต่มีการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และมีการปรับความเข้าใจกับแม่แล้ว ทำให้มีอาการดีขึ้นแตกต่างจากเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงมีพฤติการณ์ติดบุหรี่ตลอดเวลา เพราะนายเอ๋บอกว่าถ้าไม่เสพยาบ้าก็ขอสูบบุหรี่ก็ยังดี

โดยตนขอให้สัญญากับแม่จะพยายามเลิกเสพยาเสพติด เพื่อที่แม่จะได้ดีใจและตนไม่ต้องถูกจับเข้าคุกเข้าตารางอีก โดยเชื่อว่าตัวเองทำได้ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา ยอมรับแบบลูกผู้ชายว่าผิดที่ตัวเอง และอยากขอโทษแม่ที่เคยทำไม่ดีกับแม่ก่อนหน้านี้

ด้านนางจงจิตร แม่ของเอ๋ เล่าให้ฟังว่า ตนมีลูกชายสองคนโดยนายเอ๋เป็นลูกชายคนโต ส่วนนายกล้าเป็นลูกชายคนเล็ก ซึ่งปกติแล้วตนจะอยู่กับนายเอ๋สองคนในห้องพัก ส่วนนายกล้าไปทำงานที่อื่นไม่ได้พักอาศัยอยู่ด้วยกัน ห้องพักห้องนี้ลูกชายคนเล็กซื้อให้ และนายเอ๋พักอาศัยอยู่หลายปีแล้ว และยังได้เช่าห้องตรงข้ามให้ตนและนายเอ๋ไว้ใช้เก็บขยะและนำออกมาขาย

จากนั้น แม่นายเอ๋ก็ยังพาทีมข่าวเข้าไปที่ห้องนอน และพาไปดูกล่องเก็บยาบ้าของลูกชาย ซึ่งในนั้นมีซองพลาสติกใส่ยาบ้าสองเม็ดในราคาเม็ดละ 40 ถึง 70 บาท แต่ตัวเองก็บอกไม่ได้ว่าไปซื้อยาบ้ามากับใคร เพราะกลัวคนขายเขาจะมากระทืบ เมื่อวานมียาบ้า 3 เม็ด แบ่งให้ลูกกิน 1 เม็ด เหลือ 2 เม็ดเก็บไว้ในห้องนอน โดยชีวิตในแต่ละวันหลังขายของเก่าก็จะได้เงินมาจุนเจือครอบครัวอยู่ที่ 200-400 บาท ก็ต้องแบ่งส่วนนี้เอาไปซื้อยาบ้าให้ลูกพอเหลือก็จะเอามาซื้อวัตถุดิบไว้ทำกับข้าวกินในครอบครัว ซึ่งทั้งเนื้อทั้งตัวตอนนี้ตนมีเงินเหลือเพียง 50 บาทเท่านั้น

แม่นายเอ๋ เปิดใจว่า เคยพาลูกชายไปบำบัดยาเสพติดหลายที่ ทั้งวัดถ้ำกระบอก รพ.สมเด็จเจ้าพระยา และบ้านหมอปลา แต่ส่วนใหญ่เวลาไปบำบัดเค้าก็ให้กินยานอนหลับ เพื่อทำให้ผ่อนคลาย ตนก็เลยสงสารลูก เพราะแค่นี้สมองลูกก็ถูกทำลายแล้วกลัวลูกตาย ก็เลยเอาตัวลูกกลับมาที่ห้องพักเหมือนเดิม พอกลับมาพฤติกรรมแย่กว่าเดิม เอาแต่นอนซมทั้งวัน จะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ลุก แต่ฉี่ใส่ขวดใกล้ที่นอน ผ้าก็ไม่ซัก สภาพแย่มาก

ตอนนี้อยากให้มีหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือแยกลูกชายตนออกไปจากตนและเอาตัวลูกชายไปรักษา ชี้ถ้าลูกไม่ได้กินยาบ้าวันละเม็ดก็จะคลั่งแล้วจะเข้ามาทำร้ายตน ตนไม่มีทางเลือกจึงต้องมียาบ้าติดตัวไว้ทุกวัน

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับนายบอย (นามสมมติ) อายุ 43 ปี เพื่อนของนายเอ๋ซึ่งเป็นผู้ซื้อยาเสพติดมาให้นายเอ๋ เล่าว่า นายเอ๋ซึ่งเป็นเพื่อนของตนไม่ได้เสพยาเสพติดทุกวันบางทีก็เสพบางทีก็ไม่ได้เสพ ไม่ได้ติดหนักเหมือนที่แม่นายเอ๋กล่าวอ้าง ตนมองว่าแม่นายเอ๋ใช้งานนายเอ๋หนักและไม่เข้าใจลูกชาย พอลูกชายทำงานหนักก็ต้องมีการเสพยาเสพติดบ้าง ทำให้ตนมองว่าพฤติกรรมแม่ก็บังคับเกินไป เพราะคนแถวนี้ก็เสพกัน ตนก็ยอมรับว่าตนเสพยาเสพติดแต่ไม่ได้เสพหนัก เสพเพื่อให้สามารถทำงานหนักได้เท่านั้น

โดยอยากแฉพฤติกรรมแม่ของนายเอ๋ ตนมองว่าตอนนี้ทุกคนมองว่าแม่ของนายเอ๋น่าสงสาร เพราะลูกติดยาเสพติดและมาขอเงินแม่เพื่อเอาไปซื้อยาบ้า แต่ตนก็อยากถามกลับว่าถ้าหากนายเอ๋ไม่ได้เสพยาเสพติดจะสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงหรือไม่ แล้วที่แม่บอกว่าจะต้องซื้อยาบ้า 3-4 เม็ดให้ลูก ตามความเป็นจริงจะให้ลูกเสพยาบ้า 1 เม็ดแล้วอยู่ได้ถึง 4 วัน เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องเสพยาบ้าวันละเม็ด

ทีมข่าวช่อง 8 ได้ประสานมูลนิธิวินวิน ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีทั้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิวินวิน และตำรวจชุดสืบสวนสภ. บางพลี เดินทางมาที่ห้องพักของนายเอ๋ เพื่อบุกตรวจสอบยาเสพติดในห้องและสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

เมื่อทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิวินวินและทางตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบในห้องก็ปรากฏว่า แม่นายเอ๋ได้หยิบถุงพลาสติกถุงเล็กซึ่งใส่ยาบ้าสองเม็ดมาให้ตำรวจดู โดยอ้างว่า มีด้วยกันทั้งหมด 3 เม็ด ซื้อมาในราคา 200 บาท แต่อีกเม็ดหนึ่งได้ให้ลูกชายกินตอนเช้าที่ผ่านมาแล้ว

ระหว่างนั้น ทีมข่าวได้สังเกตเห็นว่ายาบ้า 2 เม็ดที่ทางแม่นายเอ๋นำขึ้นมาโชว์ให้มูลนิธิวินวินและตำรวจดู เป็นคนละสีกับยาบ้าที่แม่ได้โชว์ให้ทีมข่าวดูช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยยาบ้าสองเม็ดที่แม่นาสเอ๋โชว์ให้ทีมข่าวดูเมื่อช่วงเช้า เป็นยาบ้าสีส้มและสีแดง แต่ปรากฏว่ายาบ้าสองเม็ดที่แม่โชว์ให้มูลนิธิวินวินและตำรวจดูมีสองเม็ดเช่นกัน แต่เป็นสีแดงทั้งสองเม็ด

จากนั้นตำรวจได้คุมตัวทั้งนายเอ๋และแม่มาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สภ. บางพลี ซึ่งทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิวิ่งวินก็ได้ร่วมในการรับฟังสอบปากคำครั้งนี้ ต่อมานางสาวชลิดา พะละมาตย์ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิวินวิน บอกกับทีมข่าวว่า ระหว่างที่ได้ฟังการสอบปากคำนายเอ๋และแม่ของนายเอ๋ สุดท้ายกลายเป็นเรื่องโอละพ่อ แม่ของนายเอ๋รับสารภาพว่าเป็นคนไปซื้อยาบ้ามาให้ลูกชายเสพเอง โดยซื้อยาบ้าจากคนที่อยู่คนละตึกในเขตบ้านเอื้ออาทรด้วยกัน

ส่วนเหตุผลที่ไปซื้อเพราะแม่นายเอ๋ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และมีความคิดแปลกที่ว่าลูกชายชอบเสพยาเสพติด และหากวันไหนที่ไม่ได้เสพยาเสพติดอาจคุ้มคลั่งมาทำร้ายตัวเอง อีกทั้งถ้าลูกชายไม่ได้เสพยาบ้าก็จะทำงานไม่ได้เลยตลอดทั้งวัน จึงทำให้ตัดสินใจซื้อยาบ้าให้ลูกเสพเอง ยันลูกไม่ได้บังคับตนและไม่ได้ขอเงินตนไปซื้อยาบ้า

ขณะที่ ครอบครัวนี้มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดสามคนคือ แม่ นายเอ๋ (ลูกชายคนโต) และนายกล้า (ลูกชายคนเล็ก) โดยมีปัญหาครอบครัว แม่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า นายเอ๋ลูกชายคนโต ติดยาเสพติด ส่วนนายกล้าลูกชายคนเล็ก มีการงานที่ดีและส่งเงินมาให้แม่ทุกเดือน แต่รับพฤติกรรมแม่ที่ป่วยและพี่ชายที่ติดยาเสพติดไม่ได้จึงไม่ได้มาดูแลทั้งคู่

ตนได้สอบถามนายกล้าลูกชายคนเล็ก บอกว่า เป็นปัญหาเรื้อรังในครอบครัว โดยแม่ชอบตามใจลูกชายคนโต ลูกชายคนโตอยากเสพยาเสพติดแม่ก็ตามใจ ถึงแม้บางครั้งจะรักและพาลูกชายคนโตไปบำบัด แต่บำบัดได้แป๊บเดียวก็สงสารแล้วเอาตัวลูกชายคนโตกลับมาที่ห้องพัก ส่วนแม่ก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าทำให้มีการแก้ปัญหาแปลกๆ คือ ซื้อยาเสพติดให้ลูกชายคนโตเสพ ในส่วนตนที่เป็นลูกชายคนเล็กทำมาหากิน และส่งเงินมาให้แม่ทุกเดือน แต่แม่ก็เอาเงินบางส่วนไปซื้อยาเสพติดให้กับพี่ชาย ทำให้เบื่อและไม่อยากกลับมาที่บ้าน

ต่อจากนี้ทางมูลนิธิวินวินจะนำแม่นายเอ๋ไปรักษาอาการทางจิต รวมทั้งจะต้องประสานหน่วยงานภาครัฐเพื่อนำนายเอ๋ไปบำบัดรักษายาเสพติดให้หายขาด

นอกจากนี้ ตนยังแปลกใจมากที่แม่ในเอ๋โชว์ยาบ้าให้ทั้งทีมข่าวช่อง 8 ให้ทั้งมูลนิธิที่วินวิน และทางตำรวจดูโดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดว่านี่คือยาบ้า แต่โชว์เหมือนเป็นยาสามัญประจำบ้านทั่วไป

วันนี้จึงต้องประสานตำรวจเพื่อขยายผลยาเสพติดเพื่อป้องกันยาเสพติดในชุมชน และแปลกใจเข้าไปอีกทีว่า ทางตำรวจในพื้นที่ไม่ทราบว่าในชุมชนมีการขายยาบ้าและโชว์ยาบ้าอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย