จากกรณีมีหญิงสาวรายหนึ่งได้ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือกับมูลนิธิวินวิน และได้ส่งภาพร่องรอยบาดแผลของเด็กหญิงอายุ 14 ปีที่ถูกพ่อทำร้ายภายในบ้านพัก โดยตนทนไม่ไหวที่ทราบเหตุการณ์เด็กหญิงอายุ 14 ปี และเด็กชายอายุ 12 ปี ทั้งสองเป็นพี่น้องกันถูกพ่อ ที่ทำงานรับราชการเป็นทหารยศสิบเอก ตบตีทำร้ายร่างกายทั้ง 2 คน โดยอ้างว่าเป็นการสั่งสอน จนทำให้เด็กไม่อยากมีชีวิตอยู่ พร้อมตัดช่องทางไม่ให้แม่-ลูกได้คุยกันนั้น

วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาที่บ้านพักที่เกิดเหตุ ที่มีหญิงสาวรายหนึ่งได้ร้องทุกข์ โดยเดินทางมาพร้อมกับมูลนิธิวินวิน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และเข้าช่วยเหลือเด็กหญิงเออายุ 14 ปี และเด็กชายบี อายุ 12 ปี ที่เกิดเหตุเป็นร้านขายของชำในหมู่บ้าน ต.โรงช้าง อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา

โดยบ้านพักครอบครัวนี้มีทั้งหมด 3 หลัง หลังแรกเป็นร้านขายของชำเด็กทั้งสองคนอยู่กับยาย หลังที่สองอยู่ด้านข้างเป็นบ้านไม้สองชั้นซึ่งเป็นบ้านพักของปู่เด็ก และหลังที่สามเป็นบ้านไม้ขนาดใหญ่สองชั้นอยู่ด้านหลังสุด เป็นบ้านพักของพ่อเด็ก ปกติแล้วเด็กหญิงเอและเด็กชายบี จะพักอาศัยอยู่กับย่าที่ร้านขายของชำ

เจ้าหน้าที่มูลนิธิวินวินได้เข้าไปพูดคุยเด็กหญิงเอ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี และได้ตรวจสอบร่างกายพบว่าบริเวณหลังมีรอยจากการถูกทำร้ายด้วยการตี เด็กหญิงเอเล่าว่า ตนเองทราบว่าทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและมูลนิธิวินวินเข้ามาที่บ้านพักของตน ระหว่างเข้ามาที่บ้านพักพ่อของตนได้โทรมาหาพร้อมกับกำชับว่า “ให้ตนเก็บตัวอยู่ในบ้านพักย้ายออกไปพบเจ้าหน้าที่และมูลนิธิ พร้อมกับล็อกประตูไว้”

 

ยอมรับว่าตนเองถูกพ่อทำร้ายร่างกายตามที่มีคนร้องเรียน โดยถูกทำร้ายร่างกายมาตั้งแต่เด็ก หลังพ่อแม่หย่ากัน

ล่าสุดตอนถูกทำร้ายร่างกายวันศุกร์ที่ผ่านมา สาเหตุที่ถูกตีเพราะตนไม่ได้เก็บกวาดห้องแล้วทำห้องรก พ่อเลยหยิบสายยางสีดำมาตีตนเป็น 10 ครั้ง ซึ่งตนพยายามขอร้องพ่อหยุดตี แต่พ่อไม่ยอมหยุด

ส่วนพฤติกรรมพ่อในการลงโทษตน พ่อจะไม่ทำร้ายตนทุกวัน แต่จะสะสมความโกรธไว้ทุกครั้งที่ตนทำผิด แล้วค่อยลงโทษตนครั้งเดียวอย่างหนัก ไม่ใช่แค่ตนที่ถูกลงโทษลักษณะนี้ แต่น้องชายก็ถูกลงโทษเหมือนกัน

มี 2 ครั้งที่ตนจำได้พ่อลงโทษตนรุนแรง ครั้งแรกเนื่องจากพ่อตนขายน้ำมัน แล้วตนทำน้ำมันที่พ่อขายหก พ่อลงโทษตนด้วยการให้ตนไปนอนกลิ้งไปมากับพื้น ตนพยายามบอกพ่อว่าเวียนหัวกลิ้งต่อไม่ไหว แต่พ่อยังบังคับให้กลิ้งกับพื้นต่อ

และครั้งที่2 ตนเล่นโทรศัพท์มือถือในห้องโดยไม่ฟังพ่อพูด พ่อก็ลงโทษโดยการให้นอนตนกลิ้งไปกับพื้นเช่นเดิม แต่ครั้งนี้พ่อกลับใช้เท้าถีบตนที่กำลังกลิ้งกับพื้นด้วย ตอนนั้นมีเพื่อนพ่อเห็นเหตุการณ์ และได้เข้ามาห้าม แต่พ่อไม่ฟังและไม่หยุด

โดยพ่อชอบบังคับจิตใจตน เมื่อวานนี้พ่อบังคับตนให้โทรศัพท์หาแม่ แล้วยังบังคับให้ตนพูดกับแม่ว่า “ให้หนูกับแม่ตัดขาดกันเลย” แล้วตนก็บล็อกแม่ ซึ่งตนมีหลักฐานคลิปเสียงที่พ่อบังคับตนพูด และได้ส่งมอบให้มูลนิธิวินวินแล้ว ในคลิปตนกลัวพ่อมากและเสียงสั่นร้องไห้ขณะพูดกับแม่

น้องเอ บอกว่า ตนขอเปิดใจว่าที่ตนชอบดื้อและขัดคำสั่งพ่อ เพราะพ่อชอบขู่ว่า ถ้าตนไม่เลิกทำตัว หรือสันดานแบบนี้ จะส่งหนูไปอยู่กับแม่ หนูเลยทำตัวแบบนี้ตลอด แต่พอขัดคำสั่งพ่อหลายครั้ง พ่อกลับไม่ส่งตนไปอยู่กับแม่ แต่ลงโทษตนหนักมาก ตนเก็บกดมานานจึงร้องครูในโรงเรียน และทักแชตไปหาแม่ เพื่อขอความช่วยเหลือ ต่อมามีคนแจ้งเข้าไปที่มูลนิธิวินวินเพื่อขอให้เข้าช่วยเหลือเด็กทั้งสองคน


ต่อมาทีมข่าวได้สอบถามเรื่องนี้ กับนางสาวสายชล ซึ่งเป็นแม่ของเด็ก บอกว่า หลังจากที่ตน และอดีตสามีได้เลิกรากันไม่นาน ตนก็ได้พาลูกทั้ง2คนไปดูแลเอง ซึ่งช่วงนั้นทางอดีตสามีของตนได้อ้างกับตนว่า ขอมาเจอลูกเป็นครั้งเป็นคราวได้ไหม ซึ่งตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งระยะหลังๆ สามีของตนได้บอกให้ทางพ่อแม่ของเขาซึ่งเป็นย่าและปู่ของเด็กมาพูดคุยขอเด็กไปดูแล โดยอ้างว่าเด็กจะได้มีสิทธิ์การดูแลเกี่ยวกับข้าราชการ เนื่องจากพ่อของเด็กรับราชการเป็นทหาร พร้อมขอให้ตนเซ็นรับรองบุตร มอบอำนาจการดูแลเป็นของอดีตสามี ตนก็เซ็นโดยไม่เอะใจ

ด้วยความที่อายุของตนตอนนั้น ค่อนข้างที่จะเด็ก ประมาณ 23 ปี จึงตัดสินใจยอมให้อดีตสามีดูแลลูกทั้ง 2 คน ซึ่งขณะนั้นสามีของตนก็ยังให้ตนได้เจอกับลูกสาวและลูกชายบ้าง

จนกระทั่ง หลังจากที่ตนเลิกกับอดีตสามีได้ประมาณ 3 ปี และได้ตัดสินใจแต่งงานใหม่ จู่ ๆ สามีของตนก็ไม่ยินยอมให้ตนพบกับลูกสาว แต่อย่างใด และบอกว่าหากต้องการลูกก็ให้ไปฟ้องเอาเอง

โดยระยะเวลาที่ลูกสาวและลูกชายของตนอยู่ในความดูแลของอดีตสามี นั้นก็มักจะโทรศัพท์มาปรึกษาตนอยู่ตลอดเวลาว่า ถูกผู้เป็นพ่อบังคับต้องทำตามคำสั่งต่างๆนานา จนเกิดเป็นความกดดันหากไม่ทำตามก็จะโดนทำร้ายร่างกายอย่างหนักโดยอ้างเหตุผลในการทำร้ายร่างกายเป็นการ แต่ละครั้งว่า เป็นการลงโทษ เพราะเด็กไม่ยอมเชื่อฟัง ซึ่งตนก็พยายามที่จะติดต่อขอพูดคุยกับฝ่ายชายแต่ก็ไม่เป็นผล

เมื่อวานนี้ที่ตนตัดสินใจปรึกษากับทางมูลนิธิวินวิน จู่ๆอดีตสามีของตนได้โทรศัพท์มาด่าทอต่อว่าตนต่างต่างนานา และพูดประมาณว่า “ถึงแม้ว่า ตนจะเอาลูกไป ตนไม่มีปัญญาเลี้ยงดูลูก” จึงทำให้ตัวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจนำเรื่องราวดังกล่าวมาขอความช่วยเหลือกับทางมูลนิธิวินวิน เพราะหวังว่าจะมีเจ้าที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือนำลูกของตนออกมาอยู่ในสถานที่ปลอดภัย เพราะตนรู้สึกสงสารลูกมาก

นอกจากนี้ นางสาวสายชล กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.โรงช้าง และจะรับลูกมาดูแลเอง

นอกจากนี้ทีมข่าวได้ติดต่อโทรศัพท์พูดคุยกับสิบเอกสุวิทย์ อายุ 33 ปี พ่อเด็กทั้งสอง เล่าว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องในครอบครัวของตน ปมเหตุหลัก ๆ เกิดจากที่ลูกสาวของตนติดเล่นโทรศัพท์มากเกินไป จนไม่สนใจคนที่บ้าน ประกอบตนได้รับข้อมูลจากย่าของเด็กก่อนหน้านี้ ว่าที่ผ่านมาลูกสาวมักมีพฤติกรรมติดโทรศัพท์พูดคุยกับเพื่อนผู้ชายบ่อยครั้ง จนไม่สนใจงานการที่บ้าน ซึ่งทางปู่ย่าก็เคยเตือนไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เข้าไปหาลูกสาวที่บ้านหลังเกิดเหตุ จนกระทั่งพบว่าลูกสาวมีการติดเล่นโทรศัพท์จริงและมีการพูดคุยกับผู้ชาย จึงทำให้ตนเกิดบันดาลโทสะใช้สายยังตีเข้าที่บริเวณหลังด้วยความโมโห เพราะกลัวว่าการกระทำของลูกสาวตนนั้น จะเป็นปัญหาให้กับทางครอบครัวในภายหลัง อย่างเช่น การที่ลูกสาวคุยกับผู้ชาย ซึ่งตนมองว่า ลูกสาวยังไม่ถึงวัยที่ไม่เหมาะสมกับเรื่องพวกนี้ หากลูกตนพลาดพลั้งอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ

ที่ผ่านมาตนยอมรับว่า เคยทำโทษลูกสาว และลูกชายบ้างเล็กน้อย เวลาเขาดื้อ แต่ก็ไม่เคยกระทำการรุนแรงขนาดนี้ ยอมรับว่า บันดาลโทสะ เพราะรับไม่ได้กับการพฤติกรรมของลูกสาวที่ติดคุยโทรศัพท์กับผู้ชายมากเกินไป

ในส่วนประเด็นที่ลูกสาวมีการร้องขอความช่วยเหลือกับผู้เป็นแม่นั้น ตนมองว่า ผู้เป็นแม่ไม่ได้เลี้ยงดูแลลูกทั้ง 2 คนนี้มาตั้งแต่ต้น เขาจะพูดอะไรก็ได้ แต่คนที่ดูแลเด็กทั้งสองคนมาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ ก็คือ ตนและปู่ย่าของเด็ก ตนได้ว่ามีสิทธิ์ในการดูแลลูกทั้งสองคนที่ถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด มีการจดทะเบียนรับรองบุตร ซึ่งตนก็ต้องดูแลให้เต็มที่ โดยทางอดีตภรรยาเป็นคนเซ็นเอกสารให้ทั้งหมด หลังจากที่เลิกรากันไป

"ยืนยันว่าในการลงโทษลูกในแต่ละครั้งตนไม่ได้มีการใช้วิธีการของทหารมาลงโทษลูกแต่อย่างใด เป็นตีสั่งสอนธรรมดาเท่านั้น แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ ตนยอมรับว่า รุนแรงเกินไปจริงซึ่งตนก็รู้สึกผิด และยอมรับผิดทุกอย่าง โดยได้การพูดคุยกับลูกสาวแล้ว ซึ่งลูกสาวก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรผิดปกติ จนต้นคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วจนกระทั่งมาทราบข่าวในวันนี้" พ่อของเด็ก ระบุ

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในระหว่างที่ทางต้นสังกัดของตน ตรวจสอบ และจะมีการดำเนินการเรียกตนไปสอบสวน ซึ่งส่วนตัวตนก็ได้ทำใจในรับระดับหนึ่งในการรับโทษทางวินัย เพราะตนก็เข้าใจว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่รุนแรงซึ่งตนก็ยอมรับผิด

พ่อทหารทำโทษลูกสายยางหวดหลังลาย 2 พี่น้องพ้นนรก "วินวิน" ยื่นมือช่วย