สองครอบครัวพักโรงแรมคืนเดียว ถูกลักทรัพย์เกือบล้านบาท ผู้เสียหาย งง!พบช่องลับในห้องพัก ด้านโรงแรมบอกเป็นช่องหนีเมียหลวง

16 มิ.ย.66 ผู้สื่อข่าวได้รับการติดต่อจากผู้เสียหายสองครอบครัว กรณีถูกลักทรัพย์จากการพักโรงแรมแห่งหนึ่งในกาญจนบุรี แจ้งความแล้วที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี เมื่อมีการมาตรวจสอบที่เกิดเหตุต้องช็อคเพราะมีช่องลับที่เปิดจากด้านนอกห้องได้โดยที่ไม่ได้แจ้งให้ผู้เสียหายทราบ ต้องสูญเสียทรัพย์สินเกือบล้านในคืนเดียว ซ้ำยังปัดความรับผิดชอบอีก เรื่องทางคดีผ่านมาสามเดือนแล้ว ยันตั้งทนายฟ้องโรงแรมให้รับผิดชอบชดใช้

ผู้เสียหายครอบครัวแรก พ่อแม่และลูกสาว เดินทางมาจากสงขลา โดยมี นายเอษณะ หรือปอ แก่นแก้ว อายุ 43 ปี ชาว จ.สงขลา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 ได้เดินทางมาทำธุระที่เมืองกาญจน์ พร้อมกับแฟนมีลูกเล็กมาด้วย ซึ่งได้มาเช็คอินที่โรงแรมที่เกิดเหตุช่วงเย็นและได้เอาสัมภาระไว้ที่โรงแรม หลักจากนั้นได้เดินทางไปยังบ้านน้องชาย ช่วงค่ำก็ไปร้านอาหารตามปกติ กลับมาถึงโรงแรมประมาณ 5 ทุ่ม ตนและแฟนก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไร เพราะคิดว่าได้เรื่องโรงแรมที่ปลอดภัยแล้ว อยู่ริมถนนไม่มีหน้าต่าง และพักอยู่ห้องที่ตรงกับป้อม รปภ.ด้วย ซึ่ง รปภ.เองก็เป็นคนแนะนำให้ ก็อาบน้ำและถอดพวกแหวน สร้อย โทรศัพท์บนหัวเตียงตามที่เคยพักที่อื่น ก่อนเข้านอน และตื่นมาประมาณ 7 โมงเช้า วันที่ 27 เมษายน ตนและแฟนก็แปลกใจที่ลูกไม่ร้องเลยทั้งคืน และสังเกตุที่หัวเตียงมีของหายไปตนก็สงสัยจึงได้ถามแฟนว่าของหายไปไหน ปลาก็ตอบว่าปอลืมไว้ที่รถปล่าว จึงได้ออกมาหน้าห้องและพบผู้เสียหายอีกรายซึ่งอยู่ห้องติดๆ กันเลย กำลังนั่งรออยู่ผู้เสียหายห้องข้างๆ ได้ถามกับตนว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรมั้ย กระเป๋าตังผมหาย ตอนนั้นก็เลยรู้เลยว่าถูกคนร้ายมาขโมยของ

หลังจากที่รู้ว่าของหายตนก็ได้พยายามหาว่าคนร้ายเข้ามาทางไหน ทั้งที่ล็อกห้องปกติ ตนและผู้เสียหายอีกห้องก็พากันเดินไปดูข้างหลัง พบกับหน้าต่างที่สามารถเปิดเข้าไปข้างในห้องพักได้ ซึ่งถ้ามองจากด้านในห้องหน้าต่างนี้จะเป็นกระจกเงา ตนก็ตกใจเหมือนกับว่าตัวเองถูกหลอกข้างในดูปกติมาก เพราะเมื่อคืนก็ยืนเล่นกับลูกหน้ากระจก โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันเปิดเข้ามาจากข้างนอกได้และเปิดจากข้างในออกมาไม่ได้

นายปอ เล่าอีกว่า ทางเจ้าของโรงแรมก็ปัดรับผิดชอบโดยอ้างว่า ไม่รู้ว่าผู้เสียหายมีทรัพย์สินจริงมั้ย และหากผู้เสียหายลืมของไว้ทางนั้นก็ไม่รับผิดชอบเช่นกัน แต่ตัวผู้เสียหายก็อยู่กันครบพ่อแม่ลูกไม่ได้ลืมของไว้ และยังไม่ได้เช็คเอ้าท์ ผู้เสียหายก็เลยเดินทางไปแจ้งความที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี และจ้างทนายเพื่อมาฟ้องเจ้าของโรงแรม หลังจากนั้นก็ได้มีชุดตำรวจพิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อเก็บลายนิ้วมือ ที่บริเวณมือจับของหน้าต่าง นอกจากนี้ยังพบร่องรอยมือที่บริเวณกระจก รอยเท้าที่คอมเพสเซอร์แอร์ และพบกระเป๋าตังของผู้เสียหายอีกห้องหนึ่งที่กำลังตามหาด้วย แต่ไม่มีทรัพย์สินเหลือแล้ว ทางผู้เสียหายก็รอผลตรวจลายนิ้วมือมาเกือบ 3 เดือนแล้ว ตอนนี้ตำรวจยังไม่แจ้งผลมาเลย ซึ่งทางเจ้าของโรงแรมก็ได้ให้เหตุผลที่ทำหน้าต่างแบบนี้ขึ้นมาว่า ทำมาเพื่อให้เมียน้อยหนีเมียหลวง ทำให้เป็นทางลับที่สังเกตุได้ยาก จะเรียกหน้าต่างนี้ว่าหนีเมียหลวง สภาพห้องก็เป็นห้องแบบทึบไม่มีหน้าต่าง มีประตูทางเข้าเดียว กระจกหนึ่งบาน ค่อนข้างมิดชิด

น.ส.ปาณิศา หรือปลา ศรีวิรัตน์ อายุ 31 ปี แฟนของนายเอษณะ ได้เล่าถึงความรู้สึกหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป หลังจากนี้รู้สึกกังวลมากเวลาที่จะไปพักที่ไหน รวมถึงแฟนด้วยเวลาจะไปที่ไหนก็จะเช็คแทบทุกอย่างในห้องเลย และยังได้เดินเช็ครอบๆ ห้องพักว่ามีหน้าต่างมั้ย มีช่องลับมั้ย และจะตื่นตัวมากขึ้นจะตื่นกลางดึกตลอด เพราะมีลูกเล็กที่ต้องดูแลอายุแค่ขวบ 7 เดือนเอง กลัวว่าใครจะเป็นอัตรายเพราะบางทีสมมุติมีผู้หญิงมาคนเดียวจะเป็นยังไง อันตรายมาก ไม่มีใครช่วยเราได้เลยตอนที่นอนอยู่ นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่าถูกคนร้ายวางยา เพราะวันนั้นนอนหลับสนิทมากแฟนก็ด้วย ลูกก็ไม่ร้องเลยทั้งคืน นมก็ไม่ได้กินแท้ๆ ทำไมถึงไม่ได้ยินอะไรเลย ถ้าลูกได้ยินเสียงอะไรก็ต้องร้องสิ ถ้าลูกร้องก็ตื่นด้วยแต่นี้ไม่ จึงฝากบอกกับคนที่จะหาที่พัก ไม่ว่าจะที่ไหนก็ต้องเช็คให้ดี ว่าปลอดภัยมั้ย มีทางเข้ากี่ทาง ถามพนักงานโรงแรมให้ดี ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง เวลามีคนแอบเข้ามาในห้องก็อาจจะมีอาวุธด้วย โดยเพราะผู้หญิงที่พักคนเดียว

นายเอษณะ และครอบครัวเสียหายกว่า 7.1 แสนบาท ของที่ถูกลักทรัพย์ไปมี สร้อยทองคำน้ำหนัก 11.50 บาท แหวนเพชรแหวนทอง พระเครื่องเลี่ยมทอง ตะกรุด และสิงห์ ส่วนนายภิณโญ ผู้เสียหายห้องข้างๆ ภายในกระเป๋ามีเงินสดจำนวน 7 พันบาท