ล่ามสาวไทย ถูกกลุ่มคนร้ายแต่งกายคล้ายตำรวจอุ้มรีดค่าไถ่กว่า 2 ล้าน

เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ได้รับรายงานจาก พล.ต.ต.อัฐธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 และ พ.ต.อ.นราวุฒิ รักษาวงศ์ ผกก.สน.ดินแดง กรณีมีล่ามแปลภาษาจีน ซึ่งเป็นผู้เสียหายหญิงชาวไทย เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน ว่า ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์รูปพรรณสัณฐานคล้ายตำรวจ 5-6 คน อุ้มตัวขึ้นรถไปรีดค่าไถ่ในพื้นที่ สน.ดินแดง จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.รุดเดินทางไปตรวจสอบสำนวนการสอบสวน

เบื้องต้นเมื่อช่วงเย็นวานนี้ น.ส.นามี แซ่ลี อายุ 38 ปี อาชีพล่ามแปลภาษาจีน ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.นราวุฒิ รักษาวงศ์ ผกก.สน.ดินแดง เพื่อแจ้งความว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับการติดต่อจาก นายตี้หลุง อายุ 62 ปี ชาวจีน ให้เดินทางมาพบที่บ้านพักของ นายตี้หลุง ในซอยประชาสงเคราะห์ 2 แขวงและเขตดินแดง กทม.โดย นายตี้หลุง อ้างว่า จะให้เดินทางไปเป็นเพื่อนเพื่อทำธุรกรรมด้านการต่ออายุหนังสือเดินทางและวีซ่า ที่ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ถนนแจ้งวัฒนะ พอตนเดินทางมาถึงตามนัดหมาย ปรากฏว่า มีเพื่อนชายชาวจีน ของนายตี้หลุง ซึ่งตนไม่ทราบชื่อและนามสกุล ขับรถเก๋ง ไม่ทราบยี่ห้อรุ่น มารับ พาตนและ นายตี้หลุง ไปยังที่หมาย เมื่อเดินทางไปถึงปรากฏว่า ไม่สามารถดำเนินธุรกรรมได้ เนื่องจากเอกสารของ นายตี้หลุง ไม่ปกติ ซึ่งตอนนั้นตนเริ่มเอะใจแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับมาตั้งหลักกันก่อน โดยมีเพื่อนนายตี้หลุง ขับรถเก๋งมาส่งที่บ้านพักของ นายตี้หลุง เช่นเดิม

แต่เมื่อเดินทางมาถึงซอยประชาสงเคราะห์ 2 ระหว่างเดินลงจากรถเข้าบ้าน ปรากฏมี ชายฉกรรจ์รูปพรรณสัณฐานคล้ายตำรวจ มารออยู่แล้ว จำนวน 5 คน ทั้งหมดโดยสารยานพาหนะรถเก๋ง มาด้วยกัน 3 คัน จากนั้น นายตี้หลุง และตนก็ถูกอุ้มขึ้นรถไปคนละคัน โดยมีเพื่อนของนายจี้หลุง ขับตามประกบเป็นขบวน ออกจากซอยบ้านพัก ทั้งสิ้นรวม 4 คันระหว่างที่อยู่บนรถนั้น ตนถูกชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจสอบถามถึงที่มาที่ไปว่ารู้จักกับนายตี้หลุง ได้อย่างไร ตนก็ตอบไปตามตรงว่ารู้จักกันมาได้ ราว 1 ปี ในฐานะล่ามแปลภาษา จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็พาตนและนายตี้หลุง ขับรถไปวนบนถนนเส้นแจ้งวัฒนะ ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ก่อนที่ทั้งหมดจะขับรถพาตนและนายตี้หลุง มาปล่อยทิ้งไว้ที่ซอยประชาสงเคราะห์ 2 ในช่วงใกล้ค่ำ

"หลังจากนั้น นายตี้หลุง ยอมรับกับตนว่า มาอยู่ในประเทศไทย โดยมีเพื่อนชายชาวจีนคนดังกล่าว แนะนำช่องทางให้สวมบัตรประชาชนคนไทย จนกระทั่งก่อนเกิดเหตุเพื่อนโทรศัพท์มาบอกว่า วีซ่ากับหนังสือเดินทางมีปัญหาใกล้หมดอายุ ให้เดินทางไปทำด้วยกันที่หน่วยงานรับผิดชอบ ย่านถนนแจ้งวัฒนะ นายตี้หลุง จึงไหว้วานให้ตนเดินทางไปด้วย จนเป็นที่มีของการถูกอุ้มขึ้นรถไปเรียกค่าไถ่ โดยระหว่างที่ถูกควบคุมตัวอยู่บนรถ มีชายฉกรรจ์อ้างตัวเป็นตำรวจ ข่มขู่ว่า นายตี้หลุง จะต้องรับโทษฐานปลอมแปลงบัตรประชาชน จึงขอเรียกค่าไถ่ เป็นเงินคริปโต จำนวน 60,000 USDT เพื่อแลกกับการปล่อยตัวเป็นอิสรภาพ แต่ นายตี้หลุง ขอต่อรองครึ่งหนึ่ง เหลือ 30,000 USDT ซึ่งคนร้ายก็ตอบตกลง นายตี้หลุง จึงประสานให้ทางบุตรชายโอนเงินให้ผ่านแอปพลิเคชัน imtoken ไปที่บัญชีปลายทางซึ่งก็ไม่รู้เป็นของผู้ใด เมื่อกลุ่มคนร้ายตรวจสอบยอดเงินเข้าบัญชีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงยอมปล่อยตัวตนและ นายตี้หลุง ด้วยการขับรถมาส่งที่บ้าน"

น.ส.นามี กล่าวด้วยว่า หลังจากนั้น ตนก็ไม่สามารถติดต่อ นายตี้หลุง ได้อีก มารู้ข้อมูลอีกทีคือ เจ้าตัว ได้เดินทางออกจากราชอาณาจักรไทย กลับไปอยู่กับบุตรชายที่ประเทศจีนแล้ว ตอนนี้ตนจึงรู้สึกหวาดกลัวและเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากเชื่อว่า คนร้ายทำผิดแบบเป็นกระบวนการ และไม่แน่ใจว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นด้วยหรือไม่ จึงรวบรวมสติและนำความเข้าปรึกษากับคนใกล้ชิด ก่อนตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

หลังรับแจ้งความทางชุดคลี่คลายคดี ได้ทำการเช็กประวัติ นายตี้หลุง แล้วพบว่า เจ้าตัวมีบัตรประชาชนคนไทย ชื่อ นายสาโรจน์ ทองค้าไม้ อายุ 55 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ เอาไว้ในความครอบครองและเคยใช้บัตรประชาชนดังกล่าวทำธุรกรรมในประเทศไทย ซึ่งจะต้องตรวจให้ลึกถึงรายละเอียดว่า เจ้าของบัตรยังมีชีวิตหรือไม่ และบัตรประชาชนมาอยู่ในมือบุคคลต่างด้าวได้อย่างไร นอกจากนี้เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในละแวกจุดเกิดเหตุ ก็พบภาพรถต้องสงสัย 4 คัน และ ชายฉกรรจ์คนร้ายรวม 6 คน ก่อเหตุอุ้ม น.ส.นามี และ นายตี้หลุง ขึ้นรถไปจริงตามคำให้การ โดยผู้ต้องสงสัยชายฉกรรจ์ จำนวน 2 ใน 6 คน มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสารวัตร สังกัดสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนอีกครั้ง ก่อนเชิญตัวมาให้ปากคำในฐานะผู้ต้องสงสัยต่อไป