"อัจฉริยะ" เชื่อคนปล่อยคลิปส่วนตัว "แตงโม" เป็นคนใกล้ชิด นัดคุยผู้เชี่ยวชาญจีพีเอส ตปท. เผยสัปดาห์หน้าใช้โดรนใต้น้ำค้นหามีด คาดใช้เวลา 2 วัน 

 

วันที่ 24 พ.ค. 2565 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ลงเรือสปีดโบ๊ตที่ท่าเรือเทเวศน์ เพื่อทำการทดลองถ่ายภาพบริเวณสะพานพระราม 8 เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพที่ "กระติก" อิจศรินทร์ และแตงโม นิดา ถ่ายในคืนวันเกิดเหตุที่พลัดตกเรือ ซึ่งนายอัจฉริยะตั้งข้อสังเกตว่า ภาพที่กระติกถ่ายคู่กับแตงโมในเวลา 21.56 น. น่าจะเป็นการตัดต่อ เพราะป้ายโฆษณากับต้นไม้ด้านหลัง ไม่เหมือนกับภาพเดี่ยวกระติกอีก 2 รูป

โดยนายอัจฉริยะ ได้ลงเรือสปีดโบ๊ตไปพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญ และออกไปทดลองถ่ายภาพกลางแม่น้ำเจ้าพระยา โดยภายหลังทดลอง นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า ได้ตั้งข้อสังเกตจากรูป 3 รูป ที่ถ่ายตรงสะพานพระราม 8 คือ รูปกระติกคู่กับแตงโม  รูปเดี่ยวกะติก และรูปที่นักข่าวไปทดลองถ่าย โดยรูปเดี่ยวกระติกกับรูปนักข่าว ความสูงของป้ายกับต้นไม้จะอยู่ติดกัน แต่รูปคู่แตงโมกับกระติก ป้ายจะอยู่ห่างจากต้นไม้ วันนี้เลยมาทดลองดูว่าถ้าถ่ายในมุมเดียวกันกับทุกรูป ความสูงของป้ายและต้นไม้จะออกมาเหมือนกันหรือไม่ ซึ่งผลการทดลองพบว่าเป็นไปตามภาพต้นฉบับ ความสูงของป้ายและต้นไม้ไม่ได้แตกต่างกัน จึงไม่น่าใช่รูปตัดต่อ ซึ่งการตัดต่อคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ยังเชื่อว่า สิ่งที่เป็นไปได้ คือ การแก้ไขเวลา ซึ่งเชื่อว่า รูปเดี่ยวกระติกที่ถ่ายตอน 22.13 น. มีการแก้ไขเวลาแน่นอน เพราะคงย้อนเรือกลับมาถ่ายไม่ได้ ดังนั้น ถ้ารูปนี้แก้ไขเวลาได้ รูปคู่กับแตงโมก็คงจะแก้ไขได้เหมือนกัน

โดยวันนี้ยังได้นัดพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านจีพีเอสจากต่างประเทศ เพื่อคุยกันต่อในประเด็นเรื่องจีพีเอสของรูปภาพ เพราะเป็นสิ่งที่แก้ไขในโทรศัพท์มือถือไม่ได้ แต่สามารถเอาไปทำในโปรแกรมอื่น ๆ ได้ และในสัปดาห์หน้า จะเริ่มใช้โดรนใต้น้ำมาปฏิบัติภารกิจค้นหาอาวุธ มีด ตั้งแต่บริเวณสะพานซังฮี้ไปจนถึงสะพานพระราม 8 คาดว่าใช้เวลาค้นหาประมาณ 2 วัน ซึ่งเชื่อว่าคนบนเรือต้องทิ้งอาวุธมีดลงน้ำหลังก่อเหตุแน่นอน

ส่วนเรื่องการเคลื่อนไหวของเฟซบุ๊กแตงโมนั้น ยังมองว่าน่าจะเป็นการกระทำของบุคคลผู้หวังดีต่อแตงโมและน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะก่อนหน้านี้โทรศัพท์ของแตงโมเองก็ถูกนำไปตรวจสอบและเก็บข้อมูลไว้ ส่วนที่เมื่อวานมีไลน์แตงโมวิดีโอคอลเข้ามาที่เครื่องกระติกต่อหน้าผู้สื่อข่าวแล้วเปิดออกมาเป็นภาพส่วนตัวของแตงโมนั้น มองว่าเป็นคนใกล้ชิดที่น่าจะมีภาพเหล่านี้เก็บอยู่ จึงมองเป็นกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่หวังดี ที่โทรวิดีโอคอลเข้ามาที่กระติก ซึ่งมันดูบังเอิญเกินไป

ด้วยเหตุนี้ เชื่อว่าน่าจะเป็นคนถือโทรศัพท์แตงโมที่รู้รหัสแอคเคาท์ของแตงโม เท่าที่รู้มีแอนนา กระติก และแม่ และยืนยันว่าไม่ใช่ฝีมือบังแจ็คแน่นอน และไม่ใช่เป็นการแฮกเข้าไป ส่วนจะเป็นใคร กระติกควรไปแจ้งความให้ตำรวจหาตัว

ส่วนกรณีเรื่องการปล่อยคลิปวีดีโอที่นายอัจฉริยะอ้างว่า เป็นคลิปที่เห็นการทำร้ายแตงโมนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจ โดยผู้เชี่ยวชาญให้แม่นยำอีกครั้ง และจะยังไม่เปิดเผยจนกว่าจะได้รับการยันยันจากดีเอสไอว่าจะรับเป็นคดีพิเศษ เพราะหากปล่อยออกมาก่อนก็จะไม่มีความหมายและไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในคดีได้ แต่หากดีเอสไอรับและส่งไปตรวจสอบว่าคลิปดังกล่าวมีการตัดต่อแก้ไขหรือไม่ก็จะทำให้สามารถนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนได้ทันที เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นหลักฐานเท็จได้

โดยหลักฐานที่ยังมีอยู่ในตอนนี้ทั้งหมด นายอัจฉริยะ ยืนยันว่า คงไม่ได้นำไปมอบให้กับดีเอสไอแล้ว เพราะดูเหมือนดีเอสไอจะไม่อยากทำคดี และไม่อยากรับเป็นคดีพิเศษ ขนาดประชาชนทั้งประเทศเรียกร้องจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ เพราะไม่มีการติดต่อนัดหมายสอบปากคำ และตนเองพยายามติดต่อไปก็ไม่มีการตอบรับ ซึ่งหากจริงใจที่จะทำคดีจริงๆจะต้องประสานตนเองกลับมา และไม่มีการกำหนดกรอบระยะเวลา ทั้งนี้ตนเองจึงกังวลว่า หากอัยการมีคำสั่งฟ้องไปแล้ว เรื่องข้อกฎหมายจะยังใช้อำนาจได้หรือไม่

ทั้งนี้ หากดีเอสไอ ไม่สนใจที่จะทำคดีแล้ว ตนเองก็จะหาช่องทางอื่น โดยจะไปมุ่งในคดีที่ตนเองกล่าวหาแซน ให้การเท็จ แต่หากตำรวจสั่งไม่ฟ้อง ตนเองก็จะนำหลักฐานทั้งหมด ไปส่งให้ในชั้นอัยการ ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางเดียวที่จะต่อสู้ได้ เพราะตนเองไม่ใช่ผู้มีอำนาจ เว้นแต่แม่จะมอบอำนาจ ทั้งนี้เมื่อแม่มีทนายความอยู่แล้วก็จะไม่ก้าวล่วงกัน และก่อนหน้านี้ ทนายเดชา ก็เคยพูดว่า ทีคลิปการทำร้ายแตงโม พร้อมยอมนับว่าเสียความรู้สึกกับดีเอสไอ แต่วันนี้ถือว่าได้ทำหน้าที่เต็มที่แล้ว