"อัจฉริยะ" ยื่นหลักฐานคดีแตงโมให้ดีเอสไอ พิจารณารับเป็นคดีพิเศษ เชื่อเป็นฆาตกรรมอำพราง อ้างพบข้อมูลวันเกิดเหตุมีเรือสปีดโบ๊ต 2 ลำ 

 

วันที่ 18 พ.ค. 2565 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำหลักฐานเป็นเอกสาร ตัวอย่างดินโคลนและทรายบรรจุในท่อพีวีซี ที่ก่อนหน้านี้ได้ให้นักประดาน้ำลงพื้นที่เก็บตัวอย่างในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แตงโมตกเรือ ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ

นายอัจฉริยะ ระบุว่า วันนี้เดินทางมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ และนำวัตถุพยานที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์จำนวน 20 ชุด มามอบให้ อ้างว่ามีทั้งกล้องวงจรปิดของ กฟผ. ที่บันทึกภาพเรือสปีดโบ๊ตในวันเกิดเหตุพบว่ามี 2 ลำ ขับมาที่ท่าทรายเป็นเรือของผู้ก่อเหตุและเรืออีกลำมาด้วยกัน อ้างว่าเรือลำหนึ่งถูกขายไปแล้ว แต่ยังอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งเรือลำนี้อาจเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ทำให้ตรวจคราบเลือดไม่เจอ

หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ชี้ว่าบาดแผลบริเวณด้านขาขวาของแตงโมเกิดจากของมีคม ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ ซึ่งทำให้เห็นว่าเป็นการฆาตกรรม ทรายที่อยู่ในมือของแตงโมและโคลนที่อยู่ในปอดและหลอดลม โดยมีข้อมูลจากไทด์ เอกพันธ์ บอกว่าวันพบศพมีทรายอยู่ในมือแตงโมหนึ่งข้าง เป็นทรายที่ลักษณะคล้ายกับบริเวณท่าเรือ ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อว่าศพลอยมาจากที่อื่น ไม่ใช่จุดที่มีคนไปพบ จุดตก ที่ตำรวจสันนิษฐานไม่ใช่จุดที่แตงโมตกเรือ เพราะบริเวณนั้นมีแต่ทราย ไม่มีโคลน

ข้อมูลไทม์ไลน์จากเจ้าของอู่เรือ เวลาที่บอกว่าได้รับโทรศัพท์จากคนบนเรือ ทำไมถึงเป็นเวลาก่อนที่ตำรวจระบุว่าแตงโมตกเรือ 22.43 น.  อ้างว่ามีพยานที่อยู่ในบ้านใกล้ท่าเรือพิบูลสงครามที่กลุ่มคนบนเรือไปคุยวันเกิดเหตุ ชี้จุดตกคนละฝั่ง

นายอัจฉริยะ ยังกล่าวว่า หลักฐานทั้งหมดเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ทำให้มองเห็นมูลเหตุจูงใจของผู้ก่อเหตุ ซึ่งตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าตำรวจได้สอบปากคำญาติหรือเพื่อนของแตงโม เกี่ยวกับเรื่องโรคซึมเศร้าและยานอนหลับที่แพทย์นิติเวชตรวจพบในร่างกายของแตงโม ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่พบในคนบนเรือ ซึ่งหากยานี้แพทย์ไม่ได้จ่ายให้กับแตงโม ก็อาจเป็นมูลเหตุจูงใจเชื่อได้ว่าเป็นการฆาตกรรมด้วยการวางยา

นายอัจฉริยะ อ้างว่าหลักฐานของตัวเองทำให้เชื่อได้ว่าแซนให้การเท็จล้านเปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นยังมีผลนิติวิทยาศาสตร์ และความเห็นพยานบุคคล 13 ปาก คือตัวเอง 1 ปาก และผู้เชี่ยวชาญอีก 12 ปาก เช่น เเพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ พันเอกนายแพทย์ธวัชชัย อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า  แพทย์นิติเวชสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แต๊งค์ พงศกร ยืนยันว่าแตงโมเป็นคนขี้กลัว เป็นไปไม่ได้ที่จะไปปัสสาวะท้ายเรือ อะตอม เพื่อนสนิทของแตงโมที่รู้นิสัยของคนบนเรือ ประธานกู้ภัยยืนยันเรื่องจุดตกและทรายที่เก็บได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือยืนยันลักษณะการตกจากท้ายเรือสปีดโบ๊ตจะดีดออก ไม่ใช่ดูดเข้า

มั่นใจว่าคดีแตงเป็นเหตุฆาตกรรมอำพราง แต่เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน และแตงโมตกบริเวณท่าทราย ไม่ใช่จุดที่ตำรวจบอก โดยวันนี้ได้เอาหลักฐานมาดีเอสไอแบบเทหมดหน้าตักแล้ว แต่ยังมีเรื่องผ้าขาวที่ก่อนหน้านี้ตัวเองบอกว่ามีคนเห็น ยังสอบสวนอยู่ เพราะหลังมีข่าวว่าตัวเองจะถูกยิง พยานหลายคนก็หวาดกลัว แต่ตัวเองไม่กลัวแล้ว ถึงแม้ลูกจะถามว่าไม่เห็นใจคนที่บ้านบ้างเหรอ ก็ได้บอกกับลูกไปว่าจะทำอย่างไรได้ ต้องทำให้ถึงที่สุดเต็มที่



"คาดหวังว่าดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่างที่ผมบอกว่าจะเกรงใจตำรวจไหม ถ้าดีเอสไอ ซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรมไม่ดำรงไว้ ซึ่งความยุติธรรมให้กับประชาชน ผมไม่ได้ทำ เพื่อพวกผมเอง ผมทำเพื่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองที่ตายไปแล้วไม่สามารถพูดได้"



นายอัจฉริยะ ยังฝากถึง ส.ส.เต้ มงคลกิตติ์ ที่ช่วงหลังจับมือกันออกมาเคลื่อนไหวคดีแตงโม แต่ล่าสุด ดูเหมือนจะมีข้อขัดแย้ง บอกว่า อย่าเพิ่งน้อยใจ หัวก็ไม่ล้านเท่าไหร่ เพราะทำงานร่วมกันตลอด เครดิตก็ให้อยู่แล้ว

ส่วนประเด็นที่มีการส่งจดหมายข่มขู่ไปอัยการ นายอัจฉริยะ ยืนยันว่าไม่ใช่ตัวเองแน่นอน ซึ่งไปรษณีย์ที่ส่งมาก็สามารถตรวจสอบได้ การมายื่นให้กับดีเอสไอก็หวังว่า คดีนี้จะกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่จะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่เรื่องของนิติเวช พิสูจน์หลักฐานและการทำงานของตำรวจที่ไม่มีคุณภาพไร้ฝีมือ จนทำให้เกิดความสงสัยขึ้นทั้งประเทศ

ด้านพันตำรวจตรีวรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ระบุว่า วันนี้นายอัจฉริยะได้นำข้อมูลมายื่นให้กับพนักงานสอบสวนและจะมีการสอบปากคำเพื่อประกอบ ซึ่งต้องดูว่าต้องมีการตรวจพิสูจน์หลักฐานหรือสอบ สวนพยานบุคคลที่อ้างมาเพิ่มเติมหรือไม่

โดยเจ้าหน้าที่จะต้องใช้เวลาเพื่อนำข้อเท็จจริงทั้งหมดนำไปพิจารณาผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองว่าดีเอสไอจะสามารถรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ โดยก่อนหน้านี้คดีแตงโมเคยมีนางสาวรสนา โตสิตระกูล และทนายนกเขาเคยยื่นเรื่องไว้แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ รองอธิบดีดีเอสไอระบุว่าพยานหลักฐานขณะนั้นยังไม่เข้าข่ายสามารถรับเป็นคดีพิเศษ วันนี้หลักฐานของนายอัจฉริยะก็จะนำไปพิจารณาเพิ่มเติม แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาได้ว่าจะพิจารณารับหรือไม่รับตอนไหน แต่หากหลังจากนี้อัยการมีการสั่งฟ้อง ดีเอสไอก็จะต้องมาดูเรื่องข้อกฎหมาย แต่ตอนนี้ขอพิจารณาหลักฐานก่อน