อัยการ เผย แกนนำพันธมิตรต้องชดใช้ค่าเสียหาย 522 ล้าน กรณีปิดสนามบินให้กับทอท.ภายใน 30 วัน หากยังไม่ชดใช้ ทอท.ต้องยื่นร้องต่อศาลให้ยึดทรัพย์ภายใน 10 ปี ด้านอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตร ชี้พันธมิตร ไม่ได้ยึดสนามบิน แต่ผู้ว่าการท่าฯสั่งปิดเอง จนทำให้เกิดความเสียหาย
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และ ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย(สปท.) ได้เผยแพร่ข้อความของนายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่อธิบายเกี่ยวกับกรณีการปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ จนกระทั่งถูกศาลฎีกาตัดสินให้แกนนำ 13 คน ต้องชดเชยค่าเสียหายกว่า 522 ล้านบาท
โดยข้อความของนายพิภพ ระบุว่า ข้อเท็จจริง ที่ถูกมองข้าม กรณีพันธมิตรฯ ชุมนุมที่สนามบิน คือ พันธมิตร ไม่ได้ไปยึดสนามบิน แต่ไปดักรอนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับจากต่างประเทศ จึงไปดักรอทั้งสองสนามบิน โดยชุมนุมอยู่บริเวณทางวิ่งของถนนรถยนต์ที่ใช้รับส่งผู้โดยสารเท่านั้น จึงอย่าตีความว่า พันธมิตร ยึดสนามบิน เพราะไม่ได้คิดยึดสนามบิน แต่ผู้ว่าการท่าอากาศยานฯ สั่งปิดสนามบินเอง และละทิ้งผู้โดยสาร จนอาสาสมัครพันธมิตร ที่รู้ภาษาต่างประเทศ ต้องไปบริการผู้โดยสารแทน และแกนนำพันธมิตร ต้องบริหารจัดการไม่ให้สนามบินเสียหาย
ทั้งนี้ เมื่อมวลชนเรือนหมื่นคน ถอนตัวกลับจากสนามบิน หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค 3 พรรค ผู้ว่าการท่าฯก็สามารถจัดการสั่งเปิดสนามบินได้ทันที ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากการสั่งปิดและไม่หาทางจัดการสั่งการขึ้นลงของเครื่องบินโดยสารเอง ทั้งให้ไปลงสนามบินนานาชาติอื่น ที่มีเต็มประเทศ ก็สามารถทำได้ ดังนั้นอย่าใช้ คำว่า “พันธมิตรยึดสนามบิน” เพราะพี่น้องพันธมิตรสามารถยับยั้งไม่ให้รัฐบาลตัวแทนตระกูลชินวัตร บริหารงานสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติได้ถึง 3 รัฐบาล
ด้านนายธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ได้อธิบายขั้นตอนทางกฎหมาย ภายหลังศาลสั่งให้แกนนำพันธมิตร 13 คน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้ แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.กว่า 522 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จว่า
หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว ศาลจะออกคำบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทั้ง 13 คน ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในเวลา 30 วัน แต่หากลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ทางทอท.จะต้องร้องขอต่อศาลให้บังคับคดี โดยวิธียึดทรัพย์สิน ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา จากนั้นศาลจะออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป
โดยตามกฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีในการค้นสถานที่ และตรวจสอบและยึดบัญชี เอกสาร จดหมาย และมีอำนาจเปิดตู้นิรภัย หรือ ที่เก็บของอื่นๆ ได้ ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
ส่วนทรัพย์สินของลูกหนี้ที่จะไม่ถูกบังคับคดี หรือ ไม่ถูกยึดทรัพย์ อาทิ เครื่องใช้สอยส่วนตัว ราคาไม่เกินสองหมื่นบาท สิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช้ ในการประกอบอาชีพเท่าที่จำเป็นในการเลี้ยงชีพของลูกหนี้ ราคารวมกันไม่เกิน 1 แสนบาท เงินเดือน หรือ ค่าจ้างรวมกันไม่เกินเดือนละสองหมื่นบาท หรือ ตามจำนวนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร