นายกฯประกาศพร้อมยุบสภา 12 ธันวาคมนี้ หากฝ่ายค้านเรียกร้อง ย้ำรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปต่อยาก

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวต่อหนึ่งในเวทีปรับเปลี่ยนไปต่อไทยแลนด์ 2026 โดยยืนยันว่าในปีหน้า จะคืนอำนาจให้กับประชาชน ตอนนี้ตัวเลือกมีไม่เยอะ ก็อยากให้พิจารณาว่าพรรคไหนมีนโยบายที่ดี ต้องนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ ไม่ใช่พูดแต่นโยบายแต่ถึงเวลาปฏิบัติไม่ได้ ซึ่งต้องดูว่ามีความรู้พอที่จะปฏิบัติหรือไม่และมีความกล้าที่จะปฏิบัติหรือไม่ มีความเก่งพอที่จะผลักดันหรือไม่ มีบารมีพอที่จะแสวงหาความร่วมมือหรือไม่ ซึ่งตนคิดว่าก็พอมีพอสมควร พร้อมย้ำว่าปีหน้าจะต้องมีการเลือกตั้ง เพราะสภาพการเมืองในขณะนี้ที่ดำรงมาไปต่อไม่ได้แล้ว เนื่องจากเป็นรัฐบาลเสี่ยงข้างน้อย จะไปต่อได้อย่างไรและไม่จำเป็นต้องอภิปรายไว้วางใจ เพราะอภิปรายอย่างไรก็แพ้ แต่ตนเองก็เคยบอกแล้วว่าวันที่ 31 มกราคม 2569 ก็จะมีการยุบสภา แต่ถ้ารอถึงวันนั้นไม่ไหวก็ไม่มีปัญหา ถ้าจะให้ผมยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคมซึ่งเป็นวันที่เปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็พร้อมยุบ แต่ก็จะมีงานที่ยังค้างอยู่ ซึ่งต้องไปกล่าวโทษคนนั้นไม่ใช่มากล่าวโทษตนเอง

ซึ่งตนไม่ยอมเพราะต่อให้มีการอภิปรายแล้วอภิปรายห่วยขนาดไหนก็แพ้หรือให้อภิปรายดีขนาดไหน หรือตอบโต้ชี้แจงขนาดไหน ก็แพ้เพราะเป็นเสียงข้างน้อย แต่ทุกวันนี้ผมไม่ต้องการให้เกิดวิน วินทางการเมืองแต่ต้องการให้วินวินกับประชาชน อย่างน้อย 2-3 เดือนนี้ตนเชื่อว่าประชาชนและประเทศไทยวิน ซึ่งตนเองก็แฮปปี้แล้ว หากผมรู้สึกว่าแพ้ก็ไม่มีปัญหาเพราะตนเชื่อว่าพรรคของตนเองก็มีนโยบายที่ดี ที่จะไปว่าในสนามเลือกตั้ง จึงฝากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณ ในการตัดสินใจ ปีหน้าเป็นปีที่สำคัญถ้าตัดสินใจถูกประเทศไทยก็จะไปอีกก้าวกระโดด ซึ่งจะไปต่อด้วยสปีดที่เร็วและรุนแรง เพราะขณะนี้ประเทศไทยกลับมาสู่จอเรดาร์ของทั่วโลกแล้ว เพราะทุกประเทศให้ความสำคัญและให้ความสนใจ

"ขณะนี้หลายประเทศรู้ว่าตนเองอยู่แค่4 เดือนแต่ต่างประเทศก็ให้เข้าพบ เพราะสิ่งที่เราทำไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อรากฐาน ซึ่งใครที่จะเข้ามาทำต่อก็ต้องนำรากฐานเหล่านี้เข้าไปทำต่อ เพื่อให้ประเทศไทยของเรามั่นคงแข็งแกร่ง" นายอนุทิน กล่าว

นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า นักการเมืองจะปากดี ปากเสียอยู่พรรคไหนก็ตาม ตนเชื่อว่าลึกๆของนักการเมืองทุกคนต้องการสร้างความเจริญให้กับประเทศและทำประโยชน์สูงสุดให้กับพี่น้องประชาชนตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเคารพซึ่งกันและกันอยู่