"ม็อบ คปท." แห่รวมตัวหน้าโรงแรม จ.จันทบุรี ที่จัดประชุม JBC ไทย-กัมพูชา เรียกร้องยกเลิก MOU43-44 วอนฝ่ายไทยยุติเจรจาผ่านการประชุม JBC - จี้ "อนุทิน" กดดันให้กัมพูชา ออกจากพื้นที่บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว
วันนี้ 21 ต.ค.68 ที่โรงแรมมณีจันทร์ รีสอร์ต จังหวัดจันทบุรี นับเป็นวันแรกของการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา หรือเจบีซี (JBC)สมัยวิสามัญ นอกจากความเคลื่อนไหวของการประชุมแล้ว ความเคลื่อนไหวของฝั่งมวลชนไทย ยังคงพบว่า กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล นายนิติธร ล้ำเหลือ พร้อมด้วยมวลชนรวมตัวประท้วงอีกครั้งถึงที่จัดการประชุม เพื่อแสดงจุดยืนให้ยกเลิกบันทึก MOU 43 และ MOU 44 และยกเลิกหรือเลท่อนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย–กัมพูชา นัดพิเศษ ระหว่างวันที่ 21-22 ต.ค. ที่จันทบุรี หลังจากเมื่อวานนี้ (20 ต.ค.2568) ได้เข้ายื่นหนังสือถึงนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
โดยบรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา พบว่ามวลชนมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทั้งการถือธงชาติไทย ถือป้ายข้อความแสดงจุดยืน เช่น “รวมพลังยกเลิก MOU 43-44″ // ปกป้องอธิปไตยไทย ยกเลิก MOU43-44 // อีกทั้งเรียกร้องให้ “ยุติหรือเลื่อนการเจรจา JBC” // โดยการรวมตัวของมวลชนครั้งนี้ เจ้าหน้าที่จัดพื้นที่ให้กลุ่มมวลชน สามารถแสดงออกได้บริเวณด้านหน้าโรงแรม ซึ่งมีการดูแลรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดจันทบุรีกว่า 2 กองร้อย
ขณะที่นายพิชิต ไชยมงคล หนึ่งในแกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ให้สัมภาษณ์ระบุว่า วันนี้ไม่ได้มาคัดค้านการประชุม แต่มายื่นข้อเสนอให้ประธานคณะกรรมการJBCฝ่ายไทยว่า ทางกลุ่มฯยังไม่เห็นด้วยที่จะเร่งเจรจาJBCในโอกาสนี้ จึงขอให้เลื่อนออกไปก่อน เพราะมองว่า ก่อนหน้านี้มีการประชุมGBCเมื่อวันที่ 10 ก.ย.โดยมีข้อตกลงเรื่องเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน ‘การถอนทหารและอาหารวุธ / ให้กัมพูชาจะต้องปราบสแกมเมอร์ / และให้กัมพูชาร่วมฟื้นฟูพื้นที่หนองจานหนองหญ้าแก้ว แต่หลังจากการประชุมยังไม่มีการปฏิบัติที่เป็นจริง ‘ดังนั้นเมื่อไม่มีการปฏิบัติแล้วจะมาเร่งเจรจา JBC ไปทำไม เพราะควรจะต้องมีสภาพบังคับให้กัมพูชาสามารถปฏิบัติได้จริงก่อน’ ทำให้ทางกลุ่มเห็นว่าการประชุม JBC ในวันนี้จะเป็นเงื่อนไขไปรองรับว่า การปฏิบัติของกัมพูชาเป็นไปโดยชอบ ทั้งการยิงปืนใหญ่ใส่พลเรือน ยิงปืนใหญ่ใส่โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ซึ่งเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการและกดดันรัฐบาลมากกว่านั้น
รวมถึงกรณีที่นายกกัมพูชา ออกมาปฏิเสธไม่เคยมีความจริงใจในการเจรจาหยุดยิง รวมถึงข้อกล่าวหาที่ไทยใช้อาวุธเคมีไปโจมตีกัมพูชาแล้วประกาศระดมทุนนานาชาติเพื่อล้างพิษสารเคมี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของกัมพูชาไม่เคยเคารพประเทศไทยและไม่เคยเคารพการประชุมระหว่างไทยกับกัมพูชาเลย ดังนั้นการประชุมวันนี่จะเป็นการไปสแตมป์ความผิดและความหลอกลวงของกัมพูชามากกว่า
นายพิชิต ยังบอกอีกว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยังไม่เคยประณามหรือประท้วงกัมพูชาอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะการประณามเรื่องการยิงปืนใหญ่ใส่พลเรือน ปั๊มน้ำมันและโรงพยาบาล และเรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบ และยังไม่เห็นปฏิกิริยาทางการทูตเชิงรุกของรัฐบาลไทยเลยดังนั้นนายอนุทิน ควรจะกดดันให้กัมพูชารับผิดชอบพื้นที่บ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว ของกัมพูชาไม่ควรให้ประชาชนทะเลาะกับประชาชน แต่ควรเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา รับผิดชอบประชาชนกัมพูชา ด้วยการนำประชาชนชาวกัมพูชาถอนไปในพื้นที่ประเทศของตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเดิมตามเกมของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ปล่อยให้ประชาชนหรือทหารให้คราบประชาชนมาทะเลาะกับทางการไทย และจะกลายเป็นสงครามประชาชน ดังนั้นรัฐบาลไทยควรเรียกร้องรัฐบาลกัมพูชาให้รับผิดชอบประชาชนของตัวเอง
เมื่อถามว่าการประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมวาระพิเศษที่จะพูดเรื่องบ้านหนองจานหนองหญ้าแก้ว และชี้แจงการสร้างรั้วชายแดน นั้น นายพิชิต ระบุว่า บ้านหนองจานหนองหญ้าแก้ว ควรกดดันไปมากกว่านี้ รวมถึงการสร้างรั้วจะไปสร้างรั้วได้อย่างไรในเมื่อยังมีทุ่นระเบิดยังอยู่ตามแนวชายแดน ดังนั้นสิ่งที่ควรเริ่มต้นที่แสดงความจริงใจ คือกัมพูชาจะต้องปฏิบัติตามมติที่ประชุมGBCก่อน แล้วค่อยมาพูดถึงการสร้างรั้ว
ส่วนที่การประชุมวันนี้ ยังคงยืนยันในข้อเรียกร้อง 4 ข้อ นั้น นายพิชิต บอกว่า ก็ขอทักท้วงไปก่อน เพราะวันนี้มีการประชุมทั้ง 2 ที่ ทั้งไทยและมาเลเซีย เพราะถ้ายังประชุมดื้อดึงกันอยู่แบบนี้ ตนเองมองว่าจะเป็นการใช้เวลาการประชุมเพื่อถ่วงเวลาการปฏิบัติ ซึ่ง
“ในทางทหารไม่มีการประชุมเลย แต่มีการกดดันให้กัมพูชาปฏิบัติตามมติที่ประชุม แต่ระดับการเมืองกับไปเร่งการประชุมเหมือนเราไปเดินตามเกมกัมพูชา โดยกัมพูชาใช้เวทีการประชุม เพื่อถ่วงเวลาในการปฏิบัติการทางทหารมากกว่า”
ขณะเดียวกันระหว่างที่ กลุ่ม คปท. รวมตัวแสดงออกเชิงสัญลักษณ์พบว่ารถตู้ของ คณะผู้แทนกัมพูชา ได้ขับเข้าผ่านกลุ่มมวลชน ปรากฏว่ากลุ่มมวลชนไทยได้ส่งเสียงโห่ต้อนรับ โดยไม่มีความวุ่นวายใดๆ และการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย