"อนุทิน" ลุกฟาด "จิราพร" ลั่น! ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล ไม่รู้จักส่วนตัว "ฮุนเซน"

วันที่ 30 ก.ย.68 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลุกขึ้นชี้แจง การอภิปรายนโยบายของรัฐบาลว่า ขอขอบคุณ นางสาว จิราพร สินธุไพร สส. พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เราเคยอยู่รัฐบาลเดียวกันมาก่อน ตนขอชี้แจง เพราะคิดว่าท่านกำลังใช้วาทกรรมอีกแล้ว แม้จริงๆแล้ว ตนก็เคยชื่นชมท่านมาก่อน เวลาที่ท่านชี้แจง หรืออภิปราย เวลาท่านพูดความจริง ท่านดูน่าเชื่อถือมาก แต่เวลาพูดความเท็จ มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านขาดความมั่นใจ

“ท่านพยายามจะทำให้ตัวผม กับผู้นำกัมพูชา รู้อะไรกัน เพราะผู้นำกัมพูชาเคยกล่าวไว้ว่า จะเปลี่ยนรัฐบาลในสามเดือน ยืนยันว่า จริง ๆ ตนไม่รู้จัก แม้แต่หน่อยเดียว และเพิ่งจะรู้จักกับสมเด็จเดโชฮุนเซน ครั้งแรก ก็ เพราะติดตามนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปเยือนกัมพูชา เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรที่เป็นส่วนตัว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ที่ท่านบอกว่าคงจะมีอะไรตกลงมามาก่อนหรือไม่ ก็ขอยืนยันได้ว่าไม่มี เต็มที่ก็มีเพื่อนที่รู้จักกันที่นั่น แต่ไม่ได้มีอำนาจอะไร ในรัฐบาลแห่งนั้น ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล มีแต่เฟรนด์ มีแต่เพื่อน และไม่เคยพูดถึงเงื่อนไขการบริหารราชการแผ่นดิน หรือการเสนอแนะอะไร ที่ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว

ตนยังรู้สึกตกใจด้วยซ้ำ ภายหลังกลับจากเดินทางติดตามนางสาวแพทองธาร เยือนกัมพูชา ก็มีเพื่อนโทรมาบอก ว่ารู้ไหม ทำไมเขาไม่ให้คุณ เข้าประชุมในหลายที่ เพราะเขาไปแจ้งผู้นำ ว่า ไม่ต้องคุยอะไรกันมากหรอก เพราะเดี๋ยวก็จะปลดจาก มท1 อยู่แล้ว นี่คือข้อมูลที่ตนได้รับทราบมา แต่ตนไม่ได้ว่าอะไรเพราะข้อมูลเดียวที่จะเชื่อถือคือจากนายกรัฐมนตรีของตน ในเวลานั้น แต่ในที่สุดวันหนึ่งตนก็ได้รับแจ้ง อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ว่า พรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน และขอให้ตนไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตนจึงกราบเรียนไปว่า ถ้าแบบนี้มันก็เหมือน เป็นข้อเสนอที่ต้องการให้ตนปฏิเสธ พูดตรง ๆ มาเลย ว่าจะให้ตนออกจากรัฐบาลดีกว่า แต่ก็ดี เพราะท่านรักษามารยาทมาก บอกว่าไม่ใช่ อยากให้อยู่ แต่ไม่ให้อยู่มหาดไทย ตนก็ถามว่า ตนทำอะไรผิดหรือ ตนว่าตนเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในรัฐบาลของท่านนายกรัฐมนตรี ที่ยืนอยู่เคียงข้าง นายกรัฐมนตรี ในทุกขณะไม่ว่าจะเป็นวันดีหรือวันร้ายของท่าน ปกป้อง และให้ข้อเท็จจริงเมื่อถูกกล่าวหา ท่านนายกฯ ก็ทราบดี แต่ท่านบอกใกล้เลือกตั้งแล้ว เพื่อไทยต้องได้มหาดไทย ตนก็บอกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านเชื่อว่า การได้กระทรวงมหาดไทยไป แล้วท่านจะชนะการเลือกตั้ง คุณพ่อตนก็เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใน 10 ปีที่แล้ว เป็นตั้งสองปีกว่า แต่พอเลือกตั้งก็แพ้พรรคเพื่อไทย ในปี 2554 แต่ไม่มีคำตอบ คำตอบก็คือ ก็จะเอากระทรวงมหาดไทยคืน แต่ตนเชื่อว่า อดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ท่านพูดไม่ได้มาจากความในใจของท่านเอง ต้องมีคนบอกให้ท่านพูด เพราะในที่สุด เลขาธิการนายกรัฐมนตรีของท่าน ก็มายืนยันกับตนว่า ไพ่ใบสุดท้าย คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข

ขณะนั้นทำให้ นางสาวจิราพร ยกมือขึ้นประท้วง ว่านายกรัฐมนตรีกำลังเล่าซีนดรามา ระหว่างที่ไม่ได้อยู่ในรัฐสภาแห่งนี้ และไม่ได้มีโอกาสมาชี้แจง ทำให้นายกรัฐมนตรีสวนกลับทันทีว่า ตน ไม่ได้เล่าซีนดรามา แต่เล่าความจริง ท่านอย่ามาบอกว่าเป็นดราม่า ตนอยู่ตรงนั้น เอามายืนยันกันตรงนี้เลยก็ได้ คุณไม่ได้อยู่ตรงนั้น จะมาพูดว่าซีนดราม่าไม่ได้ ท่านไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนั้นเลย

ทำให้ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรรภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงนางสาวจิราพร ว่า นายกรัฐมนตรีก็กำลังตอบคำถามที่ผู้อภิปรายถาม อยากให้อดทนฟังสักนิดได้หรือไม่ ทำให้ประธานให้ชี้แจงตัดบทให้นายกรัฐมนตรีได้ ชี้แจงต่อ

นายอนุทิน ระบุว่า สุดท้ายตนก็ได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง โดยเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่มาหาตนถึงกระทรวงมหาดไทย และบอกว่าต้องเป็นเช่นนี้ ไพ่สุดท้าย ท่าน และตนก็ฝากให้ท่านไปกราบเรียนนายกรัฐมนตรีว่า พรรคภูมิใจไทย ขอถอนตัว บังเอิญมีเรื่องคลิปเสียงโผล่มาพอดี คลิปอังเคิลนั่นแหละ ยิ่งทำให้การตัดสินใจถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย ทำให้เกิดความมั่นใจว่าถึงเวลาต้องถอนตัวแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาเชิญออกจากรัฐบาล เพราะว่าต้องการกระทรวงมหาดไทย แต่เพราะมีเรื่องคลิปเสียง มันเป็นเรื่องของบ้านเมือง และเป็นสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยเห็นว่าเป็นความเสียหาย รัฐบาลขาดความชอบธรรม บริหารประเทศ และเป็นเรื่องที่ไม่ควรบังเกิดขึ้น นั่นคือเหตุผลที่เราถอนตัว เมื่อถอนตัวออกมาแล้ว ซึ่งท่านถามว่า มีเหตุการณ์อะไรพิสดารหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่มี ในสัปดาห์ถัดไปตนก็มารายงานตัวกับผู้นำฝ่ายค้าน ในฐานะที่จะมาเป็นพรรคฝ่ายค้าน ขอมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน ไม่มีอย่างอื่นเลย เมื่อถึงจุดหนึ่งเราเห็นว่ารัฐบาล ชุดนั้น น่าจะบริหารราชการแผ่นดินไม่ไหวแล้ว ประชาชนขาดความเชื่อมั่น เกียรติภูมิอธิปไตยของประเทศ ได้รับความเสียหาย ก็พยายามให้ท่านยุบสภาดีกว่า และปรากฏว่าหลังจากนั้นก็มีการร้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ และนายกรัฐมนตรีก็ถูกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้หยุดการปฎิบัติหน้าที่ เราก็เชื่อว่ามันก็ไม่มีคนที่จะยุบสภา เราก็ได้คุยกับทางพรรคประชาชนว่าถ้าแบบนี้จะทำอย่างไรให้เกิดการยุบสภาขึ้น พรรคประชาชนก็ไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เราก็หาวิธีที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชน โดยเร็วที่สุด จึงเป็นที่มาของ MOA และ ไม่ได้พิสดารอะไรเลย ผู้นำฝ่ายค้าน บอกว่าจะทำ MOA ในชั้นล่าง ของรัฐสภา และไม่ได้มาลงนามด้วยกัน ท่านนำมาวาง และบอกว่า หากเป็นไปตามนี้ถ้าพรรคภูมิใจไทยรับได้ ก็ให้เซ็น ก่อนจะลงนามทิ้งไว้ก่อนแล้วท่าน ก่อนจะลงนามทิ้งไว้ก่อน แล้วท่านก็ไป พรรคภูมิใจไทยเห็นแล้วว่าเงื่อนไขทั้งหมด เป็นเงื่อนไขที่ทำให้มีทางออก และประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ เงื่อนไขก็คือต้องยอมรับการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย มายุบสภาภายใน 4 เดือน และทำการเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตรงคือสิ่งที่ระบุใน MOA พรรคประชาชนก็กลับไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทย ต้องไม่ ไม่ให้เกิดวิธีการใดใดนำไปสู่เสียงข้างมาก ในพรรคภูมิใจไทย และ MOA ก็เป็นระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ไม่ได้ผูกพัน กับทั้งรัฐบาล แต่ในเมื่อพรรคภูมิใจไทยมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะรักษาสัญญา ที่ได้พูดแล้วว่าหลังวันที่ 1 ตุลาคม นับไป 4 เดือน คือไม่เกิน 31 มกราคม ยุบสภา วันที่ 14 และ 15 ตุลาคม พรรคภูมิใจไทยก็จะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วมันจะไม่ตรงกับ MOA ตรงไหน พรรคภูมิใจไทยได้สส. เพิ่มหรือไม่ การทีจะไปดึง ไปดูด สส. จากพรรคพวกท่านมา ไม่มีเลยนะครับ มีแต่พรรคภูมิใจไทยถูกดูดจากพรรคพวกท่าน เห็นๆกันอยู่ แต่โชคดีเขากลับตัวทัน เขาบอกไม่ไป เขากลับมาดีกว่า แล้วท่านบอกว่าตอนนี้พรรคภูมิใจไทยมี สส. เพิ่มขึ้น ก็ถูกต้องครับมีเพิ่มขึ้นเมื่อวาน จากการเลือกตั้งซ่อมที่ศรีสะเกษ ที่มากขึ้นเพราะมาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้ไปดูดใครมา มาจากประชาชนเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดนใจประชาชนให้เกียรติประชาชน MOA นี้ จะมาบังคับรัฐบาลในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ แต่ จะกำหนดให้รัฐบาลได้ดำเนินการ หลักๆคือการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และทำการยุบสภา

ตนมาเป็นนายกรัฐมนตรี อำนาจการยุบสภา ก็อยู่ที่นายกรัฐมนตรีใน ฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็ต้องทำตามข้อตกลงที่มีไว้อยู่แล้ว เพราะเป็นข้อตกลงที่เปิดเผย ประชาชนรับรู้รับทราบกันหมด ท่านต้องใช้เวลาอ่าน MOA ให้เข้าใจ อ่านบริบททั้งหมดให้เข้าใจ ว่าจริงๆแล้ว ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่ได้มีความวิจิตรพิสดาร ใด ๆ รัฐบาลนี้ถูกจัดตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย ตนได้รับการสนับสนุน จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 313 เสียง ในวันที่ 5 กันยายน ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นสิ่งแปลกหรือไม่เคยกระทำกันมาก่อน เพราะฉะนั้นที่ท่านอภิปรายมา ต้องการให้ตนลุกขึ้นมายืน ตนก็ลุกมายืนพูด

ส่วนที่บอก ว่าให้สัญญาได้หรือไม่ ว่าตนจะไม่ให้ใช้อำนาจหน้าที่ ไปสั่งการชี้แนะให้ข้าราชการประจำ เปลี่ยนแนวทางในการทำเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ เช่นเรื่องเขากระโดง และฮั้วสว. ยืนยันว่า เรื่อง ฮั้วสว. อยู่ที่กกต.อยู่แล้ว ถ้ามีปัญหาการได้มาสว. กกต. เป็นผู้ดำเนินการ มีแต่รัฐบาลของท่าน ไปพยายามสั่งให้ DSI ไปดำเนินการ สุดท้ายคนที่ดำเนินการก็คือกกต. จะพยายามเชิญตัวแทนเข้าไปในกกต. ก็เชิญเถอะครับทำได้ แต่ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฏหมาย เรื่องเขากระโดงก็เช่นกัน ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยก็ออกมาแถลงชี้แจงแล้ว และ รัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยของท่านใจร้อน เข้าไปวันแรกก็บอกว่าวันที่ 2 สิงหาคม จะยึดที่ดิน คือทำงานแบบท่านจิราพร อ่านอะไรไม่ได้ศัพท์ นึกว่าตัวเองเก๋า เลยไปสรุปทุกเรื่อง ทั้งที่หัวเรื่องราชการไม่ได้เลยครับ ต้องอ่านทุกถ้อยคำ และต้องตีความ สุดท้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมที่ดิน ที่ท่านตั้งเอง ที่ท่านสั่งย้ายไปเพราะหาว่าไปทำอะไรที่เอื้อผลประโยชน์ ซึ่งทุกคนที่ร่วมแถลงรวมถึงคณะกรรมการที่ท่านตั้งขึ้นมา ของท่านก็มาแถลงว่า รัฐมนตรีของท่าน ทั้ง 2 พูดเร็วเกินไป ไม่ตรงกับมติของคณะกรรมการ แล้วท่านจะมาโทษอะไรตน คนที่ใช้อำนาจหน้าที่ไปกดดัน คือรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย 2 ท่านนั้นต่างหาก ตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเกือบเดือน เข้ากระทรวงมหาดไทยเพื่อไปทักทายข้าราชการ ยังไม่ได้สั่งการอะไรเลย และไม่มีความกังวลอะไรที่ต้องไปสั่งการเพราะตน รู้เรื่องดี อยู่ที่นั่นมา 2 ปี รู้ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ที่ตนมีหนังสือไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย บอกว่าให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ตามกฎหมายทุกอย่าง ไม่ต้องละเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม หนังสือเหล่านั้นท่านไม่เอามาเอาแต่เอกสารที่ท่านผลิตเองมาแสดง ที่กระทรวงคมนาคม ก็เช่นกัน ตอนนั้นตนไม่ได้กำกับดูแล ตนเพิ่งอ่านข่าว ผู้ว่าฯการรถไฟ ก็จะเร่งเป็นรายแปลง นั่นแหละเป็นสิ่งที่ตนต้องการ อย่าไปฟ้องเหมารวมเพราะใช้เวลานาน แปลงไหนผิดก็ต้องเร่งยึดไปทันที ใครถูกก็ต้องคืนความเป็นธรรมให้กับเขา ถ้าอยากฟังอีกครั้งก็จะพูดให้ฟัง แล้วจำไว้ด้วย ว่าตนพูดแล้ว ว่าตนจะไม่มีวันใช้อำนาจหน้าที่ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล ทุกกระทรวงในรัฐบาลนี้ ไปให้พวกเขาช่วยเหลือใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นขอให้มีความมั่นใจ
และอีกเรื่องท่านต้องถอนคำพูด ตนไม่ได้เป็นผู้ต้องหา และยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย ท่านชอบใช้วาทกรรม ให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิด ท่านบอกนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ต้องหาของ DSI ท่านเรียกอธิบดี DSI ยุทธนา แพรดำ มาตรงนี้เลย แล้วถามว่าตนเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ ท่านกล้าหรือไม่ ถ้าเขาบอกว่าตนไม่ใช่ผู้ต้องหา ไปแถลงให้ตนด้วย ว่าท่านพูดผิด ตนเป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งก็ให้ความร่วมมือตามกฏหมายทุกอย่าง ส่งจดหมายไปชี้แจงข้อกล่าวหา ตั้งทนายความขึ้นมาศึกษา ต่อสู้คดีไป คดีออกมาเป็นอย่างไร ถ้าตนผิด มีกระบวนการที่ต้องทำการลงโทษตนมีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ตนเป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น ดังนั้นท่านต้องถอนคำพูดคำนี้ การที่ท่านพูดในสภาแห่งนี้ ว่าตนและสว. เป็นผู้ต้องหา เป็นคำพูดที่ผิด ฝากนางสาวจิราพร ที่เคยรักกัน ถ้าท่านพูดความจริงตนก็ไม่ต้องพูด แต่ท่านพูดความเท็จ ตนก็เลยต้องพูด จริง ๆ ไม่อยากจะพูด เพราะพูดสู้ท่านไม่ได้หรอก แต่มีความจำเป็นต้องชี้แจงให้ประชาชนทราบ

ไม่รู้ท่านวางยาตนหรือไม่ ให้ตนไปบอก สว. มาแก้ รัฐธรรมนูญกัน ต้องรับการแก้ไข รธน. โถว ท่านกำลังชี้ทางนรกให้ตนเลย จะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เขาห้ามชี้นำ และห้าม โน้มน้าว สส. และ สว. เป็นสิ่งที่ผิดรัฐธรรมนูญ ท่านกำลังประสงค์ร้าย แล้วก็มาอภิปรายตนเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องประชาธิปไตย ใครอยากแก้ก็แก้ ใครเห็นด้วยก็แก้ ไม่เห็นด้วยไม่ต้องแก้ และส่งไปตามกระบวนการ สว. ก็มีกระบวนการของเขา
ส่วนที่ท่านบอกว่าอีก 4 เดือนจะชี้ชะตาชะ 31 มกราคม ช้าสุด ยุบสภาแน่ มีแต่เร็วกว่า 31 มกราคม ด้วยซ้ำ ถ้ามีความจำเป็นต้องยุบ ไม่ต้องกังวลครับไม่เกิด คนจะมาชี้ชะตาพรรคภูมิใจไทย ไม่ต้องรอ 4 เดือน เมื่อวานซืนเค้าชี้ชะตาแล้วครับ เขาชี้ชะตาทั้งพรรคภูมิใจไทย และพรรคท่านด้วย

ท้ายที่สุด นางสาวจิราพร ได้ลุกขึ้นถอนคำพูด คำว่าผู้ต้องหา เปลี่ยนเป็นคำพูดว่า ผู้ที่พัวพันในคดี และส่อที่จะเข้ามายุบคดี หรือไม่

"อนุทิน" ลุกฟาด จิราพร ลั่น! ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล ไม่รู้จักส่วนตัว "ฮุนเซน"