วันนี้ อีเสี้ยม ขยี้เกษตร เข้าเวรเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้ไม่อยากเขียนข่าว โดนคนแถวราชดำเนินด่าบ่อย เลยเปลี่ยนมาเล่านิทานแทนละกัน...
นิทานเรื่อง “ขุนหลวงกับนางใน” รักแท้แพ้ชลธาร
กาลครั้งหนึ่ง ในแผ่นดินพาราณสี มี “เมืองทุ่งทางเดิน” เป็นบ้านเมืองรุ่งเรืองด้วยการเกษตรและพาณิชย์ ข้าราชการต่างทำงานเพื่อพระมหากษัตริย์และประชาชน
ในหมู่ขุนนาง มีท่านหนึ่งชื่อ “พระยาเกษตรภิรมย์” เป็น “ขุนหลวง” ผู้รับผิดชอบราชกิจใหญ่ เป็นคนมีความรู้ความสามารถ แต่มีข้อบกพร่องสำคัญคือ ใจเอนเอียงด้วยความเจ้าชู้
หลายปีก่อน พระยาเกษตรภิรมย์ ได้หมายตาสตรีนางหนึ่ง ชื่อ “นางบัวคำ” ซึ่งเป็นนางบ่าว ด้วยรูปโฉมและถ้อยคำหวาน นางได้ครองใจ “พระยาเกษตรภิรมย์” พระยาเกษตรภิรมย์ จึงเอาใจใส่ และหาทางให้ตำแหน่งแก่เธอเรื่อยมา เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ตน
วันหนึ่ง พระยาเกษตรภิรมย์ เกรงว่าผู้อื่นจะซุบซิบนินทา จึงอ้างราชการส่งนางบัวคำไปยังหัวเมืองใกล้ๆ แม้ไกลตน แต่เป็นตำแหน่งสูงกว่าที่เดิม และได้ฝึกวิชาราชการให้เติบโต
กาลเวลาผ่านไป พระยาเกษตรภิรมย์ ใกล้เกษียณอายุ จิตใจจึงร้อนรน อยากให้นางบัวคำกลับมาอยู่ใกล้ตนอีกครั้ง พร้อมยกตำแหน่งใหม่ให้เป็น แม่กองสำนักเกษตรตักศิลา สำนักนี้ทำหน้าที่ฝึกข้าราชการหนุ่มสาวให้เป็นผู้นำในอนาคต
ทว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ไม่ราบรื่น เพราะนางบัวคำ ไม่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนด และยังข้ามอาวุโสข้าราชการคนอื่นหลายคน เสียงบ่นและความไม่พอใจจึงแพร่ไปทั่วสำนัก ผู้คนกล่าวว่า “บ้านเมืองจะปกครองด้วยคุณธรรมได้อย่างไร หากผู้ปกครองยังเห็นแก่พวกพ้อง”
เมื่อความไม่พอใจลุกลามถึงหู ออกญาเสนาบดีจึงโปรดให้ตรวจสอบ และมีคำสั่งลับว่า
“ผู้ใดแม้จะมีอำนาจใหญ่ แต่ถ้าใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน ย่อมทำลายรากฐานแห่งความยุติธรรม”
สุดท้าย ต้องรอดูว่านางบัวคำจะได้ครองตำแหน่งดังกล่าวหรือไม่ ส่วนท่านพระยาเกษตรภิรมย์ก็ต้องเกษียณไปอย่างเงียบเหงา
ข้อคิด : “อำนาจเป็นเพียงของชั่วคราว แต่ความยุติธรรมจะคงอยู่ชั่วกาล หากผู้ปกครองใช้ตำแหน่งเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนใกล้ชิด บ้านเมืองก็เสื่อมจากภายในบัวที่มิสมควร”
อีเสี้ยม ขยี้เกษตร ก็เขียนไปเรื่อย คนไม่ได้ทำก็ไม่ต้องร้อนตัวนะ ถ้าไปโดนใจใครก็ฝากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองตรวจสอบหน่อยก็ดี อำนาจมันหอมถ้าใช้ผิดวิธีมันก็คือยาพิษ ก่อนลงนามอะไรคิดให้ดี “รักแท้ระวังแพ้ชลธาร” อีเสี้ยม ขยี้เกษตร ฝากให้คิด...