"ปานเทพ" จี้ กต. เปิดเผยผลประชุม JBC ซัดถ้าทำเพื่อชาติ ทำไมต้องเป็นความลับ ยิ่งปิดประชาชนยิ่งสงสัย พร้อมเผยเขมรเล่นเกมรุกหนักหวังยึดเสี้ยวดินแดนไทย เผย สัมพันธ์ "ทักษิณ-ฮุนเซน" ยังไม่ขาด รัฐบาลไทยยังอ่อนข้อกัมพูชา ชี้ ต้องเปลี่ยนผู้นำหากหวังจัดการปัญหาชายแดน
วันนี้ (13 ก.ค. 68) ภายในงานความจริงมีหนึ่งเดียว ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า วันนี้ภายในงานจะเน้นเรื่องธิปไตยของประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งตนจะเล่าถึงปรากฏการณ์การเสียดินแดนกว่า 15 ครั้งและการต่อสู้ของภาคประชาชนในรอบ 17 ปีซึ่งสู้เรื่องเขตแดนไทยกัมพูชามาตั้งแต่ปี 2551 ที่ไทยสูญเสียเขาพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาแค่ฝ่ายเดียว ซึ่งขณะนั้นตนได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
ต่อมาในปี 2554 ได้เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ เพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกให้ฝั่งกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งในขณะนั้นรัฐบาลได้ถอนตัวจากภาคีเครือข่าย แต่ขณะนั้นมีการเปลี่ยนรัฐบาลทำให้เขาพระวิหารตกเป็นของประเทศกัมพูชาในที่สุด
ต่อมาปี 2556 ประเทศกัมพูชาได้ยื่นต่อศาลโลกให้ตีความพื้นที่บริเวณโดยรอบของพระวิหารที่ออกห่างจากตัวเขาพระวิหาร จนทำให้ประเทศไทยแพ้อีกครั้งในศาลโลก
กระทั่งตอนนี้ปี 2568 การต่อสู้เรื่องเขตชายแดนไทย-กัมพูชา กลับทวีมากยิ่งขึ้นเพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่ทางบกแต่เริ่มไปสู่แนวชายแดนทางทะเลอีกด้วยซึ่งมีการรุกล้ำอย่างเป็นขบวนการ โดยพบว่ามีต่างชาติเข้ามาแทรกแซงซึ่งตนมองว่าตอนนี้กลายเป็นมหาอำนาจและจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นยูเครน 2 ทำให้ตนมองว่าตอนนี้เราจะถอยไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว ประเทศไทยต้องรุกเอาพื้นที่กลับมา
นายปานเทพ ยังบอกอีกว่า นับตั้งแต่มีการรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่โนแมนแลนด์ ซึ่งสินค้าที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือการตัดไม้ทำลายป่าในเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพื้นที่ของประเทศไทย นอกจากเรื่องวัฒนธรรมที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของประเทศไทยแล้วยังพบว่ามีถนน ลิฟต์ และบรรได สร้างขึ้นมาในพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารหลายจุด ในเขตชายแดนทางทะเลก็มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างยื่นเข้ามาหวังจะกินพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับขบวนการของฝั่งกัมพูชา
นอกจากนี้นายปานเทพ ยังเน้นย้ำฝากถึงกระทรวงการต่างประเทศ ให้มีการเปิดเผยเรื่องผลประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา หรือ JBC ว่าเรื่องนี้ไม่ควรเป็นความลับ เพราะการเจรจาเรื่องเขตแดนเป็นเรื่องของความมั่นคงแห่งชาติ และประชาชนควรมีสิทธิได้รับรู้ และหากบอกว่าเป็นเพียงกรอบเจรจา ก็ต้องนำเข้าสู่สภา ถ้าเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เหตุใดต้องปิดบัง การปิดบังเช่นนี้ยิ่งสร้างความสงสัย และอาจกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างรุนแรง
ต่อมานายปานเทพ ยังเปิดเผนถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร และสมเด็จฮุนเซน ว่า ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก แม้จะมีความขุ่นเคืองใจกันอยู่ก็ตาม โดยระบุว่าทางสมเด็จฮุนเซนยังอ้างถึง “ความลับ” บางอย่างที่ยังไม่เปิดเผย ขณะที่ไทยเองแม้จะมีมาตรการในมือ แต่ก็ยังไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในประเด็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่พบว่ามีต้นทางจากกัมพูชาจำนวนมาก ไทยยังปฏิบัติอย่างอ่อนมาก เมื่อเทียบกับมาตรการที่ทางกัมพูชาดำเนินการมาแล้ว เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างในจุดยืนและความจริงจัง
เมื่อสอบถามถึงท่าทีของรัฐบาลกัมพูชา กรณีที่รัฐบาลจะถอนโครงการ "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" นายปานเทพ มองว่า เรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นทางการเมืองภายในของกัมพูชามากกว่าจะเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ แม้จะมีผลประโยชน์บางส่วนของชาติต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายก็เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ทั้งนี้ นายปานเทพ ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลกัมพูชากำลังเผชิญกับกระแสความนิยมที่ลดต่ำลง เช่นเดียวกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งขณะนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลง หากต้องการเดินหน้านโยบายใดก็จำเป็นต้องพิจารณาถึงกระแสสังคมที่เปลี่ยนไป การถอนตัวจากโครงการดังกล่าวจึงอาจเป็นเพียงการถอยในเชิงยุทธศาสตร์
ในประเด็นการเมืองไทย นายปานเทพ ให้ความเห็นว่า แม้สถานการณ์จะดูคลุมเครือ แต่ยังไม่ถือว่าเดินมาถึงทางตันเสียทีเดียว ประเทศยังสามารถหาทางออกได้ในเชิงเทคนิคและกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ายังไม่เห็นทิศทางชัดเจนว่า ประเทศจะก้าวพ้นวิกฤตไปได้อย่างไร
สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน นายปานเทพ เสนอว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การมีผู้นำที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับกัมพูชา โดยระบุว่า แม้จะมีท่าทีว่าไทยกับกัมพูชาแตกกัน แต่ข้อเท็จจริงกลับยังไม่มีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ทำไว้ในปี 2543 และ 2544 อีกทั้งการเจรจากับสหรัฐฯ และโครงการไตรภาคียังคงถูกปิดเป็นความลับ
“ หากนางสาวแพทองธารรู้สึกว่าเสียเปรียบหรือไม่ไว้ใจสมเด็จฮุนเซนจริง ก็ต้องแสดงจุดยืนให้ชัด ยกเลิก MOU ปี 43 และ 44 กลับมายึดหลักแผนที่กลาง ใช้เส้นมัธยัสถ์ตามหลักสากล และนำกลไก JBC มาใช้จัดการปัญหา เหมือนที่เมียนมาใช้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ” นายปานเทพ กล่าว พร้อมเสนอว่า หากรัฐบาลยังไม่สามารถทำได้ ก็ควรพิจารณาเปลี่ยนผู้นำที่มีความโปร่งใสและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน