ถาม-ตอบเดือด!? นายกฯอิ๊งค์ กับ นักข่าว ปมขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ลั่นถึงจะสนิท "ฮุนเซน" แต่ไม่ยกบ้านให้
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ในที่ประชุมได้มีการย้ำถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังมีการปะทะกันที่ด่านช่องบก ซึ่งได้เน้นย้ำเรื่องการรวมกันเป็นหนึ่ง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้สิ่งสำคัญคือคนไทยต้องรักกัน สามัคคีกัน เพราะวันนี้ไม่ใช่การเมืองภายในประเทศ ที่จะต้องแบ่งฝ่ายว่าวันนี้รัฐบาลทำงานดีหรือไม่ดี ทหารทำงานดีหรือไม่แต่เป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกัน พร้อมขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชนทุกสำนักด้วย เพราะถือเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิด ไม่ว่าจะเป็นต่อคนหมู่มากหรือกลุ่มน้อยก็ตาม ต้องมีการสื่อสารว่าเมื่อถึงเวลาที่มีปัญหาระหว่างประเทศคนไทยต้องสามัคคีกันถึงจะมีแรงในการพูดคุยหรือเจรจา หรือการต่อสู้ก็ตาม ต้องใช้ความเป็นหนึ่ง ต้องใช้ความสามัคคีและความรักกันของทุกคนในชาติ เพื่อสนับสนุนกัน พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้หมายความว่าพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง รัฐบาลฝ่ายค้านและประชาชน ก็คือประเทศไทย ขอให้ ทุกคนให้ความร่วมมือโดยเฉพาะเรื่องการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลหรือการปล่อย เฟคนิวส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
และหากถามว่า รัฐบาลเคลื่อนไหวอย่างไร ยืนยันว่า รัฐบาลทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่และต้องรักษาอธิปไตยของเราไว้ คือสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่ต้องทำ ขณะเดียวกันรัฐบาลกับทหาร ก็มีการพูดคุยกันตลอดว่าจะไปทิศทางใด อย่างที่เพลงชาติไทยบอกไว้ว่า "ไทยนี่รักสงบ แค่ถึงรบไม่ขลาด"
"เราเตรียมพร้อมที่จะรักษาความปลอดภัย ของคนไทยทุกคนแน่นอน และไม่ต้องสงสัยว่าคนในบริเวณที่มีปัญหาความสงบจริงหรือเปล่า เราเตรียมพร้อม หากเกิดการประทะขึ้นมาเราต้องพร้อมรับมือ เราไม่ใช่ประเทศที่บอกว่าสันติวิธี หากเกิดอะไรขึ้น ที่ผิดพลาดจะไม่พร้อม ไม่ใช่ เราเตรียมพร้อมทุกรูปแบบ แต่เราเลือกสันติวิธี เราเลือกสิ่งนี้ เพราะไม่อยากให้มีการปะทะกัน ไม่อยากให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อ ไม่ว่าจะคนในประเทศไหนก็ตาม ไม่อยากให้มีอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอุปกรณ์และเครื่องมือพร้อม แต่พูดคุยได้ในทุกระดับในตอนนี้"
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในวันนี้ นายภูมิธรรม เชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็จะเดินทางลงพื้นที่ไปดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และจะมีการพูดคุยตามกรอบ JBC ในวันที่ 14 มิ.ย. เพื่อลงรายละเอียด แต่ในช่วงนี้ก่อนที่จะถึงวันที่ 14 มิ.ย. เราคิดอยู่เสมอว่าคนในชาติของเราต้องรักกันและเข้าใจกันด้วยว่า ความร่วมมือต่างๆ สำคัญมาก แต่ในรายละเอียดที่คุยกันในทุกระดับเราไม่สามารถมาแถลงเปิดเผยได้ทั้งหมด ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่แค่ของไทย จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ ขออย่ามองว่าเรื่องนี้การเมืองภาพเล็ก ที่คนที่ไม่ได้สนับสนุนกันจะต้องต่อสู้กัน ไม่จำเป็นและไม่ใช่นาทีนี้ วันนี้คนไทยต้องรวมกันเพื่อปกป้องพื้นที่และปกป้องคนไทยด้วยกันเอง นี่คือสิ่งสำคัญ
เมื่อถามว่ามี มีกระบวนการสมคบคิดระหว่างไทยกับกัมพูชาเพื่อปกป้องเรื่องนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่คิดว่ามีแบบนั้น
ส่วน กรณีที่โซเชียลโจมตี ท่าทีของ นายกฯ ความสัมพันธ์ในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับความสัมพันธ์ของตระกูลนายกและสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ความสัมพันธ์ในระดับของผู้นำไม่เถียงว่าเป็นมิตรกัน ซึ่งตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย ที่เราจะมีเพื่อน ก่อนจะย้อนว่าอย่างตัวผู้สื่อข่าวเองกับเพื่อนข้างๆ ก็เป็นเพื่อนกันหรือไม่ ทุกคนมีเพื่อนได้แต่ถามว่าหากวันหนึ่งเพื่อนทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน ก็ต้องปรับความเข้าใจซึ่งจะเป็นเรื่องง่าย ยกหูคุยกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำมาตลอดไม่ใช่แค่กับกัมพูชาเท่านั้น มาเลเซียก็ทำรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน หลายประเทศที่คุยตรง
แต่ถามว่าหากมีปัญหาจริง ทะเลาะกันแล้วเพื่อนบอกว่า เราขอบ้านเธอได้หรือไม่ ก็คงไม่มีเพื่อนคนไหน พี่จะบอกว่า ได้จ้ะ ให้บ้านไป คงไม่มีแบบนั้น พร้อมย้ำว่าเพื่อนก็คือเพื่อนความสัมพันธ์อันดีมีจริง และตอนที่เกิดเรื่องตนและ นายฮุน มาเนต ก็ได้พูดคุยกันว่าจะถอยความรุนแรงไม่ให้มีการปะทะกัน ซึ่ง ณ ให้ความร่วมมือจริงๆ แต่เหตุการณ์หน้างานที่เกิดขึ้นระดับผู้นำยังไม่ทราบ แต่ในพื้นที่ทราบแล้วก็มีการจัดการ ซึ่งต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย
เมื่อถามว่าเข้าใจได้ว่าหลายเรื่องไม่สามารถเปิดเผยได้แต่ข้อเสนอแนะจากนักวิชาการ อยากให้รัฐบาลปรับยุทธศาสตร์เชิงรุกมากขึ้น ในการตอบโต้กัมพูชาเช่นการปิดด่านชายแดนชั่วคราว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราดูในเรื่องของความสงบสุข ว่าหากปิดด่านจะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ จะเกิดหรือคุณอย่างไรบ้าง เรื่องนี้มีการปรึกษากับทหารตลอดว่าควรจะเดินหน้าอย่างไรบ้าง หน้างานอุณหภูมิประมาณไหน
แล้ววันนี้ที่ออกแถลงการณ์แต่ช่วงเช้า รัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และทหารได้มีการพูดคุยกัน ว่าจะออกแถลงการณ์แบบไหนให้ประชาชนทราบว่าเราพร้อมที่จะดูแลพี่น้องประชาชน แล้วเราพร้อมที่จะคุยกับต่างประเทศ ซึ่งเป็นใจความหลักที่อยากให้ประชาชนรับทราบและบอกว่าเราพร้อมที่จะคุยกับต่างประเทศด้วยสันติวิธี
ส่วนท่าทีของ ฮุนเซน และ ฮุน มาเน็ต เหมือนจะไม่สอดคล้องกับที่นายกรัฐมนตรีออกมาเปิดเผยนั้น นายกรัฐมนตรียังว่าเป็นสิ่งที่เราต้องยืนยัน ว่า ถ้าเขาออกมารุนแรง แล้วเรารุนแรงกลับถามว่าสันติวิธีจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถามว่าเราเตรียมการรับมือไหม “เตรียมแน่นอน” แต่วันนี้ถ้าเราเลือกได้เราเลือกสันติวิธีและวันนี้ยังเลือกได้
ชมคลิป : ถาม-ตอบเดือด! นายกฯ กับ นักข่าว ปมขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โอดนักข่าวดุจัง
ขณะที่ผู้สื่อข่าวถามกลับนายกว่า วันนี้มีการรุกล้ำพื้นที่เข้ามาแล้ว 200 เมตร นายกรัฐมนตรีจึงถามกลับทันทีว่าได้ไปดูหน้างานหรือยัง ผู้สื่อข่าวตอบโต้กลับทันทีว่าแม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันมาแล้ว ว่ามีการ ลุกล้ำเข้ามา 200 เมตร ซึ่งช่วงนี้ได้มีการปะทะน้ำเสียงและสีหน้ากัน รวมถึงมีการชี้นิ้วไปหานายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นการยืนยัน ทำให้นายกรัฐมนตรีชี้กลับและยืนยันว่า ใช่ค่ะ หลายรอบ ก่อนจะชี้ไป นายภูมิธรรม และบอกว่า นี่ไงที่ต้องไปดู และถามผู้สื่อข่าวว่าจะลงพื้นที่ไปด้วยเลยหรือไม่ ไปด้วยกันเลย
ผู้สื่อข่าวจึงตอบว่า "เขาไม่พาไป" ก่อนที่นายกฯจะยิ้มเยาะ และบอกว่า ไม่เป็นไรนะคะ ผู้สื่อข่าวจึงบอกว่าไม่ได้เสียใจ นายกฯ จึงบอกว่าโอเคๆ นึกว่าเสียใจ จะบอกว่าไม่เป็นไรนะคะ และหัวเราะเยาะอีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นเองผู้สื่อข่าว ได้หัวเราะกลับ สู้นายกฯ นายกฯจึงถามกลับว่า "เป็นอะไรหรือเปล่าคะ" พร้อมเอามือทาบอก และบอกว่าวันนี้นักข่าวดุจังเลย จากนั้น เพื่อนผู้สื่อข่าวจึงได้เปลี่ยนประเด็นไปถามเรื่องอื่น
อย่างไรก็ตามภายหลังการตอบคำถามสื่อมวลชน นายกรัฐมนตรี ได้เดินเข้ามาหานักข่าว สำนักที่จี้ถามเรื่องปมปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมถามว่ามีอะไรหรือเปล่า วันนี้เขาโกรธอะไร แต่ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวได้เดินออกจากห้องแถลงข่าวไปแล้วเนื่องจากมีงานอื่นต่อ
นายกฯจึงถามต่อว่า ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวเหวี่ยงมาก ก็เลยคิดว่าเป็นอะไรหรือไม่ เพื่อนผู้สื่อข่าวจึงตอบแทนว่าไม่มี เป็นคาแรคเตอร์ของนักข่าวคนดังกล่าว
ก่อนนายกฯ จะกล่าวต่อ งง ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะเห็นกัดฟัน หึ้ หึ้ หึ้ ! ใส่
ก่อนผู้สื่อข่าวจะย้ำอีกอีกครั้งว่า ไม่มีใครโกรธ นายกฯ ให้กำลังใจตลอด แต่นายกไม่ได้โกรธใช่หรือไม่ ทำให้นายกรัฐมนตรีบอกว่า ไม่มีอะไรต้องถามเขาสิว่าโกรธอะไรหรือเปล่า