นายกฯ เผย ผลประชุมครม.นัดแรก ขอ ครม.น้อมนำพระราชดำรัสในหลวงเป็นแนวทางในการทำงาน แจ้งข่าวดี "ไทย-จีน" ยกเลิกวีซ่าถาวรเริ่ม 1 มี.ค.

วันที่ 2 ม.ค. 67 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกของปี 2567 ว่า ตนขอให้ครม.น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานในโอกาสวันขึ้นปีใหม่มาเป็นแนวทางในการทำงาน และในปีนี้นับเป็นปีมหามงคล เพราะจะมีพิธีเฉลิมฉลองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมมายุครบ 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ซึ่งมีแผนงานที่ชัดเจน ดังนั้นก็ขอให้คณะกรรมการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินงานอย่างเคร่งครัด ร่วมทั้งสืบสานประเพณีอันดีงามของไทยที่เราควรทำตาม

นอกจากนี้การประชุม ครม.มีมติเพิ่มวันทำการประมงให้กับเรือประมงกว่า 1,200 ลำ ตั้งแต่ 1 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขปัญหาประมงไทย โดยจะทำให้เกิดการสร้างงานกว่า 20,000 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่าพันล้านบาท ถือเป็นจุดเริ่มต้นให้ชีวิตพี่น้องประมงไทยดีขึ้น

นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า ในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ครม.เห็นชอบให้รายงานผลการดำเนินงานของไทย ตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ เพื่อเป็นแนวทางปรับปรุงและความก้าวหน้าของสตรีและคุ้มครองเด็ก รวมถึงเป็นการส่งเสริมสิทธิด้านการศึกษาต่างๆ ซึ่งถือเป็นการบ่งบอกว่าไทยมีความก้าวหน้าในเรื่องสิทธิเสรีภาพทางด้านความเสมอภาค

ขณะที่เรื่องการกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศมีการปรับโครงสร้างภาษีอากรและสรรพสามิต ในประเภทต่างๆ อาทิ ภาษีสุราพื้นบ้านปรับให้เป็น 0% รวมถึงให้กรมสรรพสามิตปรับทบทวนกฎหมายต่างๆ ที่ช่วยเกี่ยวกับเรื่องสุราพื้นบ้านด้วย

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เรามีการยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเดินทางมายังไทย แต่นโยบายของรัฐบาลนี้จะยกระดับพาสปอร์ตไทย ซึ่งถ้าจะให้ดีต้องยกเว้นวีซ่าของทั้งสองประเทศ แม้ก่อนหน้านี้จีนได้ยกเว้นวีซ่าให้ 5 ประเทศ แต่ไม่มีประเทศไทย ซึ่งเหตุผลจริงๆที่ตนไม่อยากจะพูด เพราะเรามีการพูดคุยที่จะยกเว้นวีซ่าถาวร

"และวันนี้ก็มีข่าวดีว่า จีนจะมีการยกเว้นวีซ่าถาวร โดยเริ่มต้นตั้งแต่ 1 มีนาคม ทำให้การเดินทางไปกลับของสองประเทศไม่ต้องมีวีซ่า ถือเป็นการยกระดับความสำคัญของพาสปอร์ตไทย สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้าสองประเทศ​และให้กรมประชาสัมพันธ์ชี้แจงว่าไทยพร้อมเปิดประเทศและดูแลความสัมพันธ์ของสองประเทศให้ดีขึ้น"