วิโรจน์ ก้าวไกล บอกอย่าเพิ่งสรุปคดี "ผู้กำกับเบิ้ม" ยิงตัวเองเสียชีวิตคาบ้านพัก ชี้รอผลชันสูตรดีกว่า

11 ก.ย. 66 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคก้าวไกล กล่าวว่ากรณี พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผกก.2 บก.ทล. ได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงตัวเองภายในบ้านพักพื้นที่ย่านคูคต จ.ปทุมธานี มองเป็นการตัดตอนคดีหรือไม่ ว่า "ผู้กำกับเบิ้ม" จะเสียชีวิตอย่างไร เราคงต้องรอผลตรวจสอบจากนิติวิทยาศาสตร์ แต่ตอนนี้ข้อเท็จจริงสะท้อนว่า"ผู้กำกับเบิ้ม"เป็นคนโทรให้"สารวัตรแบงค์" ไปงานบ้าน"กำนันนก" คำถามคือโทรเรียกไปคุยเรื่องอะไร และตอนนี้น่าจะเชื่อได้ว่า การที่"สารวัตรแบงค์" ถูกยิงจนเสียชีงิตร ไม่น่าจะเป็นเรื่องของการโยกย้ายตำรวจ แต่เรียกไปเคลียร์เรื่องอะไรหรือไม่ เพราะตอนนี้หลายคนก็ตั้งข้อสังเกตว่ามันมีเรื่องของส่วย และการเอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้มีอิทธิพล ในเรื่องของธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ ซึ่ง "สารวัตรแบงค์" ไม่เอาด้วย

เมื่อถาม แสดงว่า ผู้บังคับบัญชาที่อยู่สูงกว่า"สารวัตรแบงค์" รู้แน่นอนใช่หรือไม่ว่า ในพื้นที่มีอะไรเกิดขึ้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนเคยพูดแล้วว่าเรื่องส่วย มันแค่ตำรวจทางหลวงไม่ได้ แต่มันหมายถึงตำรวจในพื้นที่ด้วย พัวพันกันไปหมด แสดงว่าตำรวจพื้นที่มันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องและเกี่ยวจริงๆ เพราะตำรวจที่ถูกออกหมายจับ 6 คน เป็นตำรวจพื้นที่ 4 คน ตำรวจทางหลวง 2 คน ดังนั้น เรื่องนี้จะเพ็งโทษไปที่ตำรวจทางหลวงเพียงอย่างเดียวไม่ได้

เมื่อถามว่า ทำไมหลายคนจึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการตัดตอนคดีหลังจากที่ "ผู้กำกับเบิ้ม" เสียชีวิต นายวิโรจน์ กล่าวว่า มันเป็นพฤติกรรมที่เราคุ้นชิน ก็ง่ายสุดคนตายพูดอะไรไม่ได้ แต่ตนเห็นว่า เรื่องนี้มันไม่ได้รู้แค่"ผู้กำกับเบิ้ม" อย่างเดียว เพราะมีตำรวจอยู่ในงาน 25 คน ดังนั้นคงไม่คิดว่า จะมีการฆ่าตัดตอนถึง 25 คน

เมื่อถามว่าการที่"ผู้กำกับเบิ้ม"ยิงตัวเองเสียชีวิต มันก็ไปสอดคล้องกับกระแสข่าวที่ออกมา ว่าจะมีการตัดตอนเพื่อไม่ให้ตำรวจยศใหญ่ โดนคดีนี้ไปด้วย นายวิโรจน์ กล่าวว่า ประชาชนรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจกับเรื่องนี้ เช่น เรื่องส่วยรถบรรทุก เคยย้ายตำรวจไปถึง 40 กว่าคน แต่สุดท้ายโดนคดีก็มีแค่ดาบตำรวจไม่กี่คนแล้ว ก็ชั้นสารวัตร 2 คน ทั้งที่สังคมตั้งคำถามว่าส่วยรถบรรทุกเป็นหมื่นล้าน มันทำแค่ตำรวจไม่กี่คนเองหรือ มันไม่มีตำรวจที่ยศใหญ่กว่านี้ไปเกี่ยวข้องอีกแล้วหรือ

"ทุกครั้งผมอยากจะฝากบอกถึง เพื่อนๆตำรวจและพี่ๆน้องๆ ตำรวจชั้นผู้น้อย เวลาที่นายเขาสั่งคุณให้ไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ต้อง เวลาซวยคุณซวยคนเดียวนะไอ้พวกตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รับเงินก้อนเบ้อเริ่ม แต่คุณได้แค่เศษเงิน ไอ้ตัวใหญ่ตัวโตมันรอดหมด ผมว่ามันต้องพอกันได้แล้วกับไอ้ระบบแบบนี้ แต่เรื่องนี้ผมเดาใจ ทางพลตำรวจโทจิรภพ ถ้าเป็นผมหากคุณมีลูกน้องคนหนึ่ง เป็นมือดีและมีความซื่อสัตย์สุจริตในหน้าที่ คุณหาลูกน้องแบบนี้ได้น้อยมากได้ยากมากนะ ถ้าคุณปล่อยให้ลูกน้องที่ดีตั้งใจทำงาน มีความซื่อสัตย์สุจริตตายแบบไม่เป็นธรรมอย่างนี้ เรื่องนี้ถ้าผมเดาใจ "ผู้การบิ๊กก้อง" ผมว่าเขาต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกน้องเขาแน่ๆ"

นายวิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ล้วนๆ และไอ้สวยนี่มันรุนแรงกว่าที่คิด เพราะวันนี้มันไม่ได้เป็นปัญหาทุจริตคอรัปชั่นของฝ่ายราชการเพียงฝ่ายเดียวแล้ว แต่มันพัวพันกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ด้วย ผู้มีอิทธิพลก็เอาเงินสีดำสีเทาไปให้ข้าราชการ คราวนี้ตำรวจและฝ่ายปกครองบางคน พอมากินตำแหน่งก็ต้องแทนคุณรับใช้ ก็ต้องสั่งการข้าราชการชั้นผู้น้อยให้อำนวยความสะดวก ให้ธุรกิจผิดกฎหมายของผู้มีอิทธิพล​

"ตอนนี้ผมตั้งข้อสันนิษฐานว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของการย้ายสิบตำรวจแล้ว แล้วเรื่องนี้ตบหน้าผู้การก้อง (พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.)​และ ผู้การเต๋า (พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง)​ ก่อนหน้านี้เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์ ว่าส่วยไม่มีแล้ว แต่ถ้ามีก็ขอให้แจ้ง แต่ว่าคล้อยมาไม่กี่วัน ตำรวจมือดีที่ส่งไปจัดการเรื่องนี้ กลับมีจุดจบแบบนี้ แสดงให้เห็นว่า ส่วยมันเหิมเกริมมาก มันก้าวร้าวมาก ขนาดตำรวจมือดีที่ลงไปจัดการเรื่องนี้ ที่รับคำสั่งตรงจากผู้ บัญชาการตำรวจสอบส่วนกลางทำงานคู่กับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ มันยังไม่เว้นเลย มันยังไม่กลัวเลย"

นายวิโรจน์ ยังอยากจะฝากถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ และฝากถึงนายกรัฐมนตรี และเห็นว่าตอนนี้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยลงไปดู แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีดังนั้นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้แก้ปัญหานี้ แต่สุดท้ายมันคือเรื่องของการซื้อขายตำแหน่ง เพราะหากคุณเอาเงินสกปรกมาซื้อตำแหน่ง คุณเข้าไปก็ต้องไปรับใช้เขา สุดท้ายมันไม่ใช่แค่เรื่องของการบั่นทอนกำลังใจของคนในพื้นที่ แต่มันบั่นทอนความรู้สึกของข้าราชการที่ดีด้วย