"วิโรจน์" บอก "โอกาสมีเสมออย่าไปทิ้งโอกาส" หลังแสดงความรู้สึกให้ "เพื่อไทย" กลับมาจับมือกับ "ก้าวไกล" อีกครั้ง มั่นใจทำงานร่วมกันได้ พร้อมให้กำลังใจ "เศรษฐา" เชื่อ หากเปลี่ยนตัว เป็น "ชัยเกษม-อุ๊งอิ๊งค์" ก็เจอข้ออ้างไม่เอาอยู่ดี ขอ "พท." อย่ายอมให้ถูกหลอกอีกเลย

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า “เดินกลับแค่เสียหน้า ถ้าเดินหน้าจะเสียทุกอย่าง” โดยบอกว่า เป็นความรู้สึกที่สะท้อนออกมาจากประชาชนจึงได้สะท้อนออกไป ส่วนต้องการจะให้พรรคเพื่อไทยกลับมาจับมือกับพรรคก้าวไกลหรือไม่นั้น มองว่า ไม่ได้เป็นการกลับมาจับมือกับพรรคก้าวไกล แต่กลับมาอยู่กับฝ่ายประชาชนมากกว่า เพราะฝ่ายที่จะต้องอยู่คือฝ่ายเดียวกันกับประชาชน ซึ่งมองว่าจะเป็นทางออกที่จะปกป้องเสียงของประชาชนได้ และเป็นโอกาสเดียวที่จะฟื้นฟูอุดมการณ์ของประชาธิปไตย เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

 

“อย่าคิดว่าใครมาจับมือกับใคร แต่ผมคิดว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องเคารพเสียงของประชาชน และปกป้องเสียงของประชาชนที่เขาอุตส่าห์ไปเลือกตั้งมา บางคนเสียสละเวลาในการทำภารกิจ ลางานเพื่อไปเลือกตั้ง”

 

ทั้งนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในพรรคก้าวไกล เพราะเป็นความเห็นส่วนบุคคล และจากการติดตามประวัติศาสตร์ทางการเมืองกันมา ฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือฝ่ายอำนาจนิยม เขาก็เจ้าเล่ห์เพทุบาย และโหดเหี้ยมมากอยู่แล้ว แต่จุดแข็งของฝ่ายอำนาจเก่า คือการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น และใช้ยุทธวิธีเดิมๆคือการแบ่งแยกและปกครอง

ตนจึงคิดว่า ฝ่ายประชาธิปไตยควรจะต้องลืมความรู้สึกแบบปัจเจก เรื่องคิดเล็กคิดน้อยกันบ้าง แต่ในเรื่องขององค์กรทางรัฐธรรมนูญ ถ้ามีความเห็นที่ไม่ตรงกันบ้าง แต่หากมีอุดมการณ์ที่ใกล้เคียงกันก็จะต้องทำใจให้กว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยและมองผลประโยชน์ประชาชนเป็นสำคัญ

 

“เมื่อไรแตกปุ๊ป จบเลย เพราะฝ่ายโน้นเขาอยากให้แตกกันอยู่แล้ว แล้วถ้าเราเอาเรื่องมาฟื้นฝอยหาตะเข็มมันก็ไม่จบ”

 

ทั้งนี้เพื่อไทยก็มีสิทธิที่จะเดินหน้าหรือถอยหลัง แต่หากเรามองจากภายนอกตามประวัติศาสตร์ทางการเมือง ก็ต้องยอมรับว่า ฝ่ายประชาธิปไตยก็ถูกกระทำ และถูกหลอกจากฝ่ายอำนาจเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และฝ่ายอำนาจเก่สเขาไม่เคยแตกแถวกัน ทำเหมือนแตก แต่จริงๆเป็นการแยกกันตีแล้วกลับมารวมกันเดิน

 

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เริ่มถูกตั้งข้อกังขาเหมือนที่พรรคก้าวไกลโดนนั้น นายวิโรจน์ บอกว่า เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ และตนก็ขอให้กำลังใจนายเศรษฐา เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้เราเคยคาดการณ์มาก่อน และเราก็เคยพูดเตือนมาแล้ว

 

“อย่างกรณีของก้าวไกล โดนเรื่อง ม.112 ก็เป็นเพียงข้ออ้าง พอหมดข้ออ้างหนึ่ง ก็หาข้ออ้างสอง พอหมดข้ออ้างสองก็หาข้ออ้างสาม พอเห็นท่าทีของก้าวไกลที่พร้อมจะยืดหยุ่น เปิดใจรับฟัง ก็กลายเป็นว่า อะไรที่เป็นก้าวไกลก็ไม่เอาหมดเลย และนี่แรกๆก็บอกไม่มีปัญหา และหลังๆก็ค่อยๆงอกปัญหาออกมาเรื่อยๆ เห็นหรือไม่ว่าฝ่ายนั้นอำมหิตขนาดไหน เราก็แค่บอกว่า อย่าไปยอมให้มันหลอกเลย และประชาชนก็คือคนที่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนี้มันหลอก เพราะหากดูคอนเม้นต์ในโซเชียล หรือเจอประชาชนตามตลาด ก็มักจะบอกว่า อย่าไปเชื่อมันหลอก ยอมเรื่องหนึ่งเดี๋ยวก็หาเรื่องอื่นอีก”

 

ส่วน ถ้าเปลี่ยนเป็นนายชัยเกษม นิติสิริ หรือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะมีปัญหาหรือไม่ นายวิโรจน์ บอกว่า เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่หน้าที่ตน แต่เชื่อเหอะ ต่อให้เปลี่ยนเป็นใคร ฝ่ายโน้นก็หาเรื่องอยู่ดี

 

 “เอาง่ายๆของที่มันไม่ซื้ออยู่แล้ว ต่อให้เปลี่ยนเป็นชิ้นนี้ มันก็ติเอาชิ้นใหม่มาก็หาเรื่องติ ต่อให้บอกว่าถ้าไม่ใช่ชิ้นนี้ยังไงก็เอา ก็หาเรื่องติ สุดท้ายคือใจมันไม่เอา ไม่คิดจะซื้ออยู่แล้ว เพราะมันเตรียมของไว้ในกระเป๋าอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าให้มันหลอกดีที่สุด นี่ผมพูดด้วยความหวังดี เพราะเขาหลอกประชาชนมากี่ครั้งกี่หนแล้ว จนประชาชนตอนนี้ไม่ยอมให้หลอกแล้ว”

 

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า อย่างเรื่อง 112 ก็ไม่ใช่ประเด็น แต่จริงๆคือกลัวว่า ก้าวไปลจะเข้าไปปราบทุจริต เข้าไปแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่บิดเบี้ยว หรือกลุ่มทุนผูกขาด กลุ่มทุนอุปถัมภ์ที่กินรวบแล้วกลัววีาจะเอาเปรียบปรัชรชนไม่ได้เหมือนเดิม

 

เมื่อถามย้ำว่า แบบนี้ทองว่าเขาพยายามจะทำทุกอย่างเพื่อให้ฝั่งของเขาขึ้นมาเป็นนสยกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ถูกต้อง แน่นอน และถ้าเราไม่รู้สึกอะไรเลยทั้งที่หัวใจทำด้วยเนื้อไม่ได้ทำด้วยเหล็ก จะบอกไม่ให้รู้สึกอะไรเลยใจอย่างกับภูขาก็คงไม่ใช่

 

“เมื่อถึงจังหวะ มันก็ต้อง ฮึบ ต้องลืม เจ็บมันก็ต้อง เคยฟังเพลง ‘ไม่ไหวบอกไหว’ หรือไม่ มันต้องจับมือกันแล้วไปต่อ เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาของนายวิโรจน์ กับนายคนนั้น แต่มันเป็นเรื่องของปัญหาประชาชนเป็นสำคัญ ถ้าอยู่ดีๆคุณเอาความรู้สึกไม่สบายใจส่วนตัวแล้วมาเป็นอุปสรรคขัดขวาง แล้วทำให้คนที่ได้รับบาดเจ็บคือประชาชนและอุดมการณ์ประชาธิปไตย ก็คงไม่มีประโยชน์”

 

ส่วนหากเพื่อไทยกลับมาจับมือกับก้าวไกลอีกครั้งจะต้องมีเงื่อนไขพอเศษอะไรหรือไม่นั้น นายวิโรจน์ บอกว่า คงไม่มีแต่คงต้องคุยกัน ว่าโดนแล้วใช่หรือไม่ แล้วจะมารวมมือจับมือสู้ต่อกันยังไง เพราะตนเคยบอกว่า จากเดิมเพื่อไทยก้าวไกล รวมกันได้ 312 เสียง ทำไมดูยากเย็น เพราะไม่ได้สู้กับ 188 เสียง แต่สู่กับ 424เสียง คือ 188 รวมกับ 236เสียงคือเสียง สว. แล้วจะเชื่อจริงๆหรือว่า สว.แต่ละคนมีความเป็นอิสระ ตนมองว่าประชาชนไม่เชื่อ จะต้องมีคนกดปุ่ม ดังนั้น จึงไม่ต้องไปสนใจที่จะคุยกับทีละคน แต่มองส่าจะต้องคุยกับ2คนคือ คุยกับ สว.ที่เป็นกลาง 13คน แต่ก็จะมีอีกกลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ที่เป็น สว.ระบบกดปุ่ม ซึ่งต้องไปคุยกับเจ้าของปุ่ม แล้วจะไปเชื่อเจ้าของปุ้มได้เหรอ

 

“คุณคิดว่าเขาจะให้สว.ในคอนโทรล กดปุ่มให้คุณฟรีๆ โดยที่เขาไม่ได้ร่วมรัฐบาลเหรอ โธ่! มันเป็นไปไม่ได้ อย่าเรียกว่ายากเลย โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี คุณจะไปหลงเชื่อเขาได้อย่างไร

  

ตอนนั้นเรามี 312 งัดกับ 424 ยังเหนื่อย ตอนนี้เหลือแค่ 141 อย่าว่าแต่ 424เลย เจอแค่ 188 ก็หนาวแล้ว ซึ่งตอนนั้น 188 เสียงยังไม่กล้ามาต่อรอลยังไม่กล้าหือ เพราะฝ่ายเรายังมี 312 ทำให้188ก็เลยเงียบ แล้วก็ต้องเรียกกองพลหลังม่านเข้ามาเติม 236 เลยมารวมเป็น424 แต่ตอนนี้เหลือแค่ 141 ทำให้ หลังท่านเงียบไปเลย เพราะเจอแค่ 188 เสียงก็ตายแล้ว”

 

ส่วนหากเพื่อไทยและก้าวไกลกลับมาจับมือกัน ก็คงทำงานด้วยกันได้เพราะเรื่องการทำงานกับเรื่องความรู้สึกเป็นคนละเรื่องกัน และความไม่สบายใจจะลดทอนไปเองตามกาลเวลา และการทำงานที่มันราบรื่นหากอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้นทำไมเราถึงพูดว่า มีลุงไม่มีเรา เพราะอุดมการณ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กับพรรคเพื่อไทยเรายังมองว่า เป็นเพื่อนเรา และเคยทำงานร่วมกันตอนเป็นฝ่ายค้าน ทั้งนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะตรงกัน100% แต่ส่วนใหญ่ก็มองตรงกัน ถ้าถึงจังหวะที่จะต้องฮึบๆบ้าง ไม่ไหวบอกไหวบ้างก็จะต้องทำ

 

เมื่อถามย้ำอีกว่า มีโอกาสที่จะกลับมาจับมือกันได้หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวช่วงท้ายว่า โอกาสมีเสมอ คุณอย่าไปทิ้งโอกาส