"รังสิมันต์ โรม" เผยมติที่ประชุม สส.ก้าวไกล ไม่เห็นด้วยให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยมติรัฐสภาตีความข้อบังคับฯ ข้อ 41 เล็งใช้กลไกสภาหาทางออก

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม สส.ในวันนี้ ว่า วันนี้เป็นการประชุม สส.เพื่อเตรียมความพร้อมไปสู่การประชุมสภา และอย่างที่ทราบว่าวันนี้มีการงดประชุมสภาไป ในพรรคก้าวไกลก็มีการถกเถียงถึงประเด็นที่เกี่ยวพันในการดำเนินงานในสภาต่อไป แบ่งเป็น 2 ข้อ ประการแรกเดิมทีได้มีการนัดประชุม ในวาระหลัก2วาระคือ วาระเลือกนายกรัฐมนตรี และวาระที่ พรรคยื่นแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ม.272 ปิดสวิตซ์ สว.ที่ให้อำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี และเมื่อมีการงดการประชุม ทำให้ไม่สามารถพิจารณาวาระใดๆได้เลย

พรรคก้าวไกลจึงมองว่า ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ทุกฝ่ายพูดตรงกันว่า มีความจำเป็นต้องเลือกนายกรัฐมนตรีต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นปัญหาของประเทศที่ไม่สามารถรอได้ เนื่องจากประชาชนต้องการมห้มีผู้นำที่จะมาแก้ไขปัญหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่า มีการงดองค์ประชุม ทำให้ในการพิจารณาเรื่องโหวตนายกรัฐมนตรีล่าช้าออกไป จึงทำให้เสียดายที่จะมีโอกาสในการพูดคุย

ทั้งนี้แม้จะมีการอ้างในเรื่องผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยข้อบังคับที่ 41ของรัฐสภาในการเสนอญัตติ เสนอเชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีซ้ำได้หรือไม่ ซึ่งต้องเรียนตามตรงว่า ในวาระการพิจารณาของสภาไม่ได้มีแค่เรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรี ทำไมถึงไม่เอาวาระที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.272 มาพิจารณา เพราะเราไม่จำเป็นต้องปล่อยเวลาไว้เฉยๆ สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ และเป็นการหาทางออกให้กับวุฒิสมาชิกที่ต้องการปิดสวิตซ์ตัวเอง เป็นการเดินหน้าออกจากปัญหาที่เป็นชนักติดหลักที่ทำให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้ พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงงดการประชุม

และการที่รอคอยว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินอย่างไรนั้น จะทำให้สุดท้ายการพิจารณาการเลือกนายกรัฐมนตรีอยู่บนพื้นฐานของความไม่แน่นอน อาจจะเนิ่นช้าต่อไป และตน ขอบอกว่าในนามของพรรคก้าวไกล เชื่อมั่นในการทำงานของสภา แม้รัฐสภาจะมีมติเห็นชอบว่า การเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกครั้งที่ 2 ไม่สามารถทำซ้ำได้ โดยทุกฝ่ายมีความกระจ่างอย่างชัดเจนว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ซึ่งมีประชาชนบางส่วนเสนอให้พรรคก้าวไกลร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตนจึงไม่อยากเห็นการแทรกแซงอำนาจของรัฐสภาโดยศาลรัฐธรรมนูญอีกแล้ว

“พรรคก้าวไกลมองว่า เรื่องนี้เราสามารถจัดการกันเองได้ในสภา วันนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินก็เห็นว่า การตีความดังกล่าว มันเป็นการตีความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นักวิชาการเข้าชื่อเป็นอาจารย์ มีชื่อเสียงก็เข้าชื่อร้อยกว่าท่าน หลายท่านอเกมาให้ความเห็น มันกระจ่างอย่างชัดเจนว่าการที่วภามีมติในวันนั้น มันไท่ชอบด้วยกฎหมาย”

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ในเหตุนี้ พรรคก้าวไกลจึงเสนอทางออกได้ หากพิจารณาข้อบังคับการประชุมต่างๆ สามารถยื่นญัตติให้สภาทบทวนการมีมติที่เคยมีไปแล้ว ซึ่งสามารถทำได้ อะไรที่ปฏิบัติผิดไป เราสามารถทบทวนได้เสมอ ดังนั้นในการประชุมรอบต่อไป พรรคก้าวไกลจะหารือกับประธาน เพื่อให้มีการทบทวน หากสภาเห็นด้วยกับญัตติที่พรรคก้าวไกลเสนอ ก็จะเป็นการปลดล็อก และทำให้การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไม่ต้องผูกพันธ์ กับมติเดิมอีกต่อไป หมายความว่า เสนอชื่อซ้ำได้

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะเสนอชื่อนายพิธา ซ้ำหรือไม่ เนื่องจาก นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลให้สัมภาษณ์ว่าหากเสนอชื่อแคตดิเดตนายกจากพรรคเพื่อไทย สว.จะโหวตให้มากกว่า นายรังสิมันต์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกล พูดอย่างชัดเจนว่า ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำที่จะเสนอแคตดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน ส่วนการเสนอของเราเป็นคนละเรื่องกัน เพราะเป็นการเสนอเพื่อปลดล็อกสิ่งที่ผิดพลาดในที่ประชุมของสภา ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ไม่ควรจะเป็นต่อไป และสามารถหาทางออกได้โดยไม่ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

เมื่อถามว่าเรื่องนี้เป็นการตอกย้ำความผิดพลาด การยกเก้าอี้ประธานสภา ให้กับนายวัน มูหะหมัดนอร์มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ หรือไม่ นายรังสิมันต์ ระบุว่า ต้องพิจารณาเรื่องบริบทต่างๆ ณ ตอนนั้นมีข้อคิดเห็นเรื่องผู้ที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งประธานสภาไม่ตรงกันสุดท้ายนำไปสู่การถอยคนละก้าว ซึ่งตนก็คิดว่า นายวัน มูหะหมัดนอร์มะทา มีความตั้งใจ ตนคงไม่สามารถไปวิจารณ์ว่าการทำหน้าที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร ประชาชนควต้องช่วยกันพิจารณา

ส่วน หากมีการทบทวนมติแล้วเสนอชื่อซ้ำได้คำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินจะถูกตีตกไปหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องไปพิจารณาในข้อกฎหมาย

ส่วนหากสามารถทำได้แล้วจะทำให้น้ำหนักในการจัดตั้งรัฐบาลกลับมาเป็นของก้าวไกลหรือไม่นั้น นายรังสิมันต์กล่าวว่า เบื้องต้นคงต้องดำเนินการเลือกนากยกรัฐมนตรีก่อนส่วนจะสำเร็จหรือหมาจะต้องหารือกันใน 8 พรรค และตนคิดว่าหลักการที่เราอยากจะเห็นคือการเดินหน้าตามมติของประชาชน เราทำหน้าที่แทนประชาชน 312 คนก็คือ 27ล้านคน อย่าให้ประชาชนต้องพูดว่าเลือกตั้งกันไปทำไม เลือกไปแล้วไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยน อย่าให้มันออกมาเป็นทิศทางแบบนั้น สุดท้ายใน8พรรคต้องคุยกันและสร้างความเชื่อมั่น และตนเชื่อว่าบทบาทของวุฒิสภา ตราบใดที่8พรรคยังมีความแน่นหนา สว.ไม่สามารถทำอะไรได้ ตนไม่ได้บอกให้รอถึง 10 เดือนในการจัดตั้งรัฐบาล แต่หากเราเข้มแข็งเพียงพอ ฝ่ายที่จะทำให้เราแตกแยก หรือพยายามจับข้ามขั้ว จะไม่เกิดขึ้น รวมถึงรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ไม่สามารถเป็นไปได้ สุดท้ายฝ่ายที่วางกลอุบายแบบนี้ก็ต้องยอม

เมื่อถามว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย แนะนำให้พรรคก้าวไกลถอย ให้โหวตนายกรัฐมนตรีได้แล้วค่อยเข้ามาร่วมรัฐบาลนั้น รังสิมันต์ กล่าวว่า ก็เป็นความเห็น และตนไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะตอบแทนทุกพรรคได้ สุดท้ายก็ต้องพูดคุยกันใน 8 พรรคร่วมว่าจะดำเนินการอย่างไร ตอนนี้ก็ให้เพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ต้องมีการพูดคุย