"สมชัย" ชำแหละกม. หลังกกต. ยก 3 คำร้องหุ้นสื่อ บอกถึงวันเปิดรัฐสภาเรื่องยังอยู่ในกระบวนการศาล คาดกระทบความเชื่อมั่นส.ว. โหวตเลือกนายกฯ เหตุมีคดีชนักติดหลัง ยังไม่บานปลายถึงยุบพรรค คาดท้ายที่สุดอาจไม่มีโทษรุนแรง-อาจจะยกฟ้องด้วยซ้ำ

10 มิ.ย. 66 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกกต. ยก 3 คำร้องเรื่องหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเกตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ว่า เริ่มต้นจากข่าวเมื่อคืน ที่ระบุว่ากกต. ยกคำร้อง 3 เรื่อง ซึ่งเป็นการร้องเกี่ยวกับกรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี ของนายพิธา หากฟังเบื้องต้นเหมือนเป็นข่าวดี คนพอใจว่าเรื่องนี้ถูกตีตกไปแล้ว แต่ถ้ามองเรื่องต่อเนื่องว่า กกต. เห็นว่าเรื่องราวดังกล่าวนี้มีมูล มีข้อมูลที่น่าสนใจ และจะรับไว้ในฐานะที่เป็นความปรากฎเพื่อดำเนินคดีในมาตรา 151 ต่อไป ซึ่งหมายความว่าแม้จะตีตกคำร้องดังกล่าว แต่ข้อมูลที่มาจากการร้องดังกล่าวน่าสนใจเพียงพอที่กกต. จะรับเรื่องมาดำเนินการเองต่อ ซึ่งสามารถทำได้ใน 2 ลักษณะ คือ เป็นการร้องเกี่ยวกับประเด็นคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามการถือหุ้นสื่อฯ ซึ่งการร้องดังกล่าวนี้กกต. จะทำได้ หลังจากประกาศรับรองผลส.ส. แล้ว ถือว่าเป็นความปรากฎแต่เก็บไว้ก่อน และมีโอกาสที่กกต. อาจจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาดำเนินการภายหลัง หลังการรับรอง ซึ่งขณะนี้ก่อนการรับรองผลกกต. ตั้งใจทำอะไรนั้น คือการดำเนินการเอาผิดนายพิธา ในความคิดที่ทำผิดกฎหมาย พ.ร.ป.ส.ส. มาตรา 42(3) คือกรณีถือหุ้นสื่อ การทำความ ผิดในเรื่องนี้จะนำไปสู่การลงโทษตามมาตรา 151 ดังนั้นจึงหมายความว่าในขณะนี้กกต. ใช้อำนาจตัวเอง ไม่พึ่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องมีการสอบ โดยขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีความผิดหรือไม่ แต่หากพบว่ามีความผิดจะดำเนินคดีอาญากับนายพิธา ซึ่งการดำเนินการในคดีอาญาอาจจะใช้เวลานานพอสมควร เช่น ต้องมีกันไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษที่โรงพัก ตำรวจต้องเรียกฝ่ายต่างๆ มาให้ปากคำ เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงก่อนส่งอัยการ และอัยการเองก็อาจจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริง ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง ถ้าไม่สั่งฟ้องก็ถือว่าจบไปแต่ถ้าสั่งฟ้อง ก็เป็นเรื่องของศาล ซึ่งศาลอาญาเป็นศาลชั้นต้นที่จะต้องมีการต่อสู้กันตามกระบวนการศาลอื่นๆ ต่อ ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นปี หรืออาจจะหลายปี

 

ส่วนตอนนี้การฟ้องคดีอาญาดังกล่าว จะส่งผลอย่างไรในเชิงระยะยาวคงอีกนาน แต่ระยะสั้นช่วงของการที่นายพิธา จะเข้าสู่การแข่งขันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาจจะเกิดขึ้นช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2566 อาจจะทำให้เสมือนมีสิ่งที่ติดอยู่กับตัวเขา ว่าเป็นคดีความที่ยังไม่ถึงที่สุด ทำให้ส.ว. จำนวนหนึ่งอาจจะใช้เรื่องดังกล่าวนี้เป็นข้ออ้างในการไม่ยกมือให้

 

เมื่อถามว่า แล้วเรื่องของการถือหุ้นสื่อจบแล้วหรือยังนั้นนายสมชัย ระบุว่า การยกคำร้อง 3 คำร้อง ไม่ได้แปลว่าจบ เพราะอาจจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาได้ หลังจากมีการรับรองส.ส. แล้ว มีช่องทางตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ ที่จะให้คน3 หลุ่มคือ ส.ส. จำนวน 50 คน หรือ 1 ใน 10 / ส.ว. จำนวน 25 คน หรือ 1 ใน 10 เข้าชื่อกัน และอีกกลุ่มคือกกต. ถือเป็นความจริงปรากฎร้องเอง ก็สามารถไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้แปลว่าเรื่องนี้จะหายไปตลอดกาลแต่ยังคงอยู่ และเกิด 2 เรื่องขึ้นไปพร้อมกันทั้งในส่วนของคดีอาญาที่จะเป็นชะนักติดหลัง และคดีเรื่องหุ้นสื่อ อาจจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมา และตนเชื่อว่า 1 ใน 3 กลุ่มนี้จะต้องร้องอย่างแน่นอน และเชื่อว่ามีการเตรียมการที่จะร้องอีก ดังนั้นในฝ่ายของพรรคก้าวไกลและนายพิธา จะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เหล้านี้ด้วย ว่ามีอุปสรรคที่ขวางหน้าอยู่ไม่น้อย การเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจำเป็นที่จะต้องคลี่คลายแก้ไขปัญหาสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ด้วย

 

สำหรับโทษในส่วนของกกต. ฟ้องเอง และทางอาญา มาตรา 151 นั้น มันไปคนละทางกัน ถ้าเป็นการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ซึ่งจะบอกว่ามีคุณสมบัติหรือไม่มี ถ้าไม่มีคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามเกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นเป็นส.ส. ไม่ได้ รวมถึงเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ และอาจะมีการตัดสิทธิ์รับเลือกตั้ง 10 ปี ส่วนโทษอาญา เรื่องรู้ว่าไม่มีคุณสมบัติแค่มาสมัครส.ส. โทษอาญาดังกล่าว ต้องตัดสินพิพากษาโดยศาลอาญา และสามารถสู้กันในอีกหลายศาล ซึ่งส่วนนี้มีโทษแรง จำคุก1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี

 

ทั้งนี้หากให้ตนคาดเดาสถานการณ์คือ ทุกอย่างจะยังอยู่ในกระบวนการของการดำเนินการ หากต้นเดือนสิงหาคม เป็นวันประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตน เชื่อว่าทุกเรื่องยังไม่จบ ในส่วนของคดีอาญาอาจจะอยู่ในขั้นตอนของอัยการ ขณะที่เรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะอยู่ในขั้นตอนกกต. อาจจะส่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และศาลรับคำร้อง อาจจะสั่งยุติการปฎิบัติหน้าที่หรือไม่สั่งก็ได้ แต่กระบวนการวินิจฉัยของทั้ง 2 ศาลจะยังไม่เสร็จสิ้น โดยเท่านี้ตนก็มองว่าเป็นปัญหาของนายพิธา เพราะเหมือนว่าขณะที่เขาเดินไปให้คนเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี จะมีข้อกล่าวหาติดตัวและเป็ยเหตุให้ส.ว. มองว่าไม่ใส มีสิ่งที่ทำให้เกิดความขุ่นมัว จึงไม่สามารถมอบความไว้วางใจในการปกครองประเทศได้ ซึ่งตนเชื่อว่าเขาต้องการสร้างผลกระทบเพียงเท่านี้ เพราะหากตัดสินออกมาว่าไม่ผิดก็จบไป แต่เมื่อยังไม่ตัดสินก็ยังคงขุ่นและมัว ไม่ชัดเจน ซึ่งทำให้มีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่ลงมติให้

 

การดำเนินการของกกต. นอกจากส่งศาลรัฐธรรมนูญและดำเนินคดีอาญามาตรา 151 จะมีข้อกล่าวหาอื่นเพิ่มมาอีกหรือไม่ นายสมชัย ระบุว่า ตนขอใช้คำว่าเป็นไปได้และมีได้ แต่ขอยังไม่ขยายเพิ่มเติม เนื่องจาก คนจะเข้าใจว่าตนไปชี้ช่องและจะกลายเป็นความเสียหายเกิดขึ้น โดยตนมองว่ายังไปได้ไกลพอสมควร ดังนั้นขออย่าประมาท

 

ส่วนจะบานปลายไปถึงขั้นยุบพรรคก้าวไกล หรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า ตนเชื่อว่าจะไปไม่ถึง แม้กระทั่งมาตรา 151 ท้ายที่สุดพอไปถึงศาลอาญาก็ไม่มีโทษรุนแรงและอาจจะยกฟ้องด้วยซ้ำ หรือแม้จะมีโทษก็คิดว่าคงไม่มีโทษรุนแรงถึงขั้นได้รับโทษสูงสุด ทั้งการจำคุก 10 ปี หรือปรับ 2 แสนบาท รวมถึงตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี คิดว่าโทษคงไปไม่ถึงขนาดนั้น เพราะเหตุของการณ์กระทำไม่ได้แรงขนาดนั้น ฉะนั้นไม่มีตรรกะหรือผลอะไรที่จะไปลงโทษสูงสุด แต่กระบวนการกว่าจะไปถึงขั้นนั้นก็สร้างความเสียหายไปแล้ว ทั้งความรู้สึกไม่เชื่อมั่น สั่นคลอนกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภา และยืนยันว่าท้ายที่สุดโทษจะไม่แรง ส่วนจะออกมาอย่างไรนั้นตนคงพูดแทนศาลหรือกระบวนการยุติธรรมไม่ได้

 

เมื่อถามว่า จะได้เห็นนายพิธาเข้าสภาฯ ไหม หรือจะซ้ำรองนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมชัย กล่าวว่า ตนอยากให้นายพิธา ได้เข้าสภาฯ ปละให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และอยากให้กระบวนการในการเลือกนายกฯ เป็นไปตามเสียงข้างมากที่ได้จากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ตอนนี้ต้องยอมรับความจริงว่ามีปัญหาและอุปสรรคพอสมควร เพราะไม่ใส หากถามความเห็นของผู้ที่สังเกตการณ์ทางการเมืองพูดประมาณ 50/50 เท่านั้น ไม่พูดว่าแน่นอน 100% เพราะถ้าเป็นการเลือกตั้งโดยทั่วไปฝ่ายใดรวมเสียงได้ถึง 300 เสียงขึ้นไปถือว่าจบแล้วครบ 100% แล้ว ดังนั้นเคสนี้จึงยังเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง