"จตุพร" วิเคราะห์ "เพื่อไทย" มีแผนล้มกระดาน ใช้เหตุการณ์แย่งเก้าอี้ ประธานสภาแยกทาง "ก้าวไกล" เห็นใจ "พิธา" ชนะเลือกตั้งอันดับหนึ่ง แต่กลับติดกระดุมผิด ย้ำ "ก้าวไกล" เป็นสิ่งแปลกปลอมทางการเมือง จึงไม่มีพรรคใดอยากร่วมรัฐบาลด้วย

27 พ.ค. 66 นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะ หลอมรวมประชาชน วิเคราะห์สถานการณ์หลังการเลือกตั้ง หลังพรรคก้าวไกลชนะเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ที่มีการพูดกันว่ากลิ่นความเจริญเริ่มมาถึง แต่ตนคิดว่ากลิ่นของความอำมหิตและความหายนะนั้นมาถึงแล้ว

 

ก่อนหน้านี้คณะหลอมรวมฯพยายามอธิบายเรื่องรัฐธรรมนูญหลายรอบ ว่าออกแบบมาอย่างไรก็เป็นปัญหา กระดานทางการเมืองเป็นวิทยาศาสตร์เสมอ ดังนั้นเมื่อหลงกระแสเสียง หลงความนิยม แต่ไม่ดูภูมิรัฐศาสตร์ว่าต้องสู้กับอะไรก็ เหมือนการติดกระดุมผิดเม็ด เพราะคนจะเป็นนายกต้องได้เสียง 376 เสียง ตอนนี้รวบรวมได้เพียง 312 เสียง และกำลังจะมีความแตกแยก ที่ได้ข่าวว่าเบาลงนั้นไม่ใช่เรื่องจริง อย่างที่ตนเคยบอกว่าจะมี 2 เส้นทาง คือทางสภาและองค์กรอิสระ โดยเฉพาะกกต. ที่ตอนนี้มีเรื่องยุบ 5 พรรคการเมือง ในประเด็นคุณสมบัติ และในจำนวนนี้มีที่สุ่มเสี่ยงจริงแค่ 2 พรรคคือพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ส่วนพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ภูมิใจไทย ไม่มีใครกล้าเล่นว่าจะโดนยุบ

 

นายจตุพรยังระบุว่า 312 เสียงที่ต้องรวมกันเป็นเพราะกระแสสังคมไม่ใช่แก่นทางจิตใจ เพราะมีการแข่งขันกันเองอย่างรุนแรง และที่แรงที่สุดคือระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลทลายแลนด์สไลด์อย่างราบคาบในหลายจังหวัดที่เป็นของเพื่อไทยยังถูกตีแตก แต่ที่ต้องมาจับมือกันเพราะกระแสสังคมบอกว่าต้องจับมือกัน

 

นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่จะตั้งหัวข้อว่าก้าวไกลขาดเพื่อไทยไม่ได้ แต่เพื่อไทยขาดก้าวไกลได้ แม้พรรคเพื่อไทยประกาศไม่ต่างกับพรรคก้าวไกลว่าไม่เอาขั้วรัฐบาลเดิม แต่คนกลับเชื่อก้าวไกลมากกว่า แนวคิดว่าเพื่อไทยขาดก้าวไกลได้ มาจากรากความคิดเรื่องประธานสภา ที่ตนเคยทักท้วงตั้งแต่ต้น ว่าเรื่องเอ็มโอยูควรจบที่ความร่วมมือเท่านั้น เพราะยังไม่ได้เสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ยังขาดเสียงที่ต้องอาศัยจากวุฒิสภา นายพิธาซึ่งเป็นเจ้าของตำราเรื่องเม็ดกระดุมแต่ตัวเองกลับติดกระดุมผิดเสียเอง ทำเสมือนว่าเป็นนายกฯแล้วเดินทางไปพบหน่วยงานต่างๆ เสมือนเป็นรัฐบาลแล้ว ทำเอ็มโอยูเหมือนเป็นนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาเป็นนายกเป็นรัฐบาลแน่นอนแล้ว แบ่งกันรวมกันแล้ว จนเลยเถิดมาถึงตำแหน่งประธานสภา พรรคเพื่อไทยก็เห็นว่าสามัคคีกันก็ไม่รอด แต่ถ้าแยกกันอาจจะรอด แต่ในความจริงก็จะไม่รอดเพราะเพื่อไทยประกาศในที่สาธารณะไม่ต่างจากพรรคก้าวไกล

 

นายจตุพรยังระบุว่าการที่เพื่อไทยออกมาพูดว่าอย่ามากินรวบนั้น ไม่เคยมีมาก่อน สำหรับพรรคที่ได้ที่หนึ่งจะได้ทั้งสองตำแหน่งทั้งนายกและประธานสภา จึงต้องจุดประเด็นหาเหตุว่าถ้าไม่ยอมก็โหวตกันในสภา ซึ่งหากโหวตเพื่อไทยได้แน่นอน เพราะพรรคเสียงข้างน้อยต้องโหวตให้เพื่อไทย ก้าวไกลก็จะแพ้หากมีการโหวตแม้จะได้เสียงลำดับที่หนึ่ง เพราะพรรคเสียงข้างน้อยรอเสียบจากความแตกแยกนี้ หากเชื่อก็แสดงว่าไม่ได้กินข้าว

 

แม้กระทั่งในวันพรุ่งนี้(28 พ.ค.) ที่จะมีมวลชนเคลื่อนไหวไปที่พรรคเพื่อไทย หากเป็นคนที่มีประสบการณ์จะรู้ว่าถ้าไม่สั่งมาเรื่องนี้ก็จะไม่เกิด สิ่งที่น่าสนใจคือข้อเรียกร้องในวันพรุ่งนี้ที่ระบุว่าหากพรรคเพื่อไทยถูกข่มเหง ให้ถอนตัวไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน แม้ดูเหมือนก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลแล้วเพื่อไทยถอยไปเป็นฝ่ายค้าน แต่หลัง กกต.ประกาศรับรองและเข้าสู่ขั้นตอนการเลือกประธานสภา พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อนายแพทย์ชนน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเป็นประธานสภา ส่วนก้าวไกลจะเสนอใครก็แล้วแต่ ส่วนอีกฝั่งไม่เสนอแข่ง แล้วจะมีการเทเสียงให้นายแพทย์ชนน่าน ซึ่งก้าวไกลจะกลับไปอยู่กับพรรคที่เหลือไม่ได้อีกแล้ว ความเป็นไปได้เป็นศูนย์ แต่พรรคเพื่อไทยที่ถูกแต่งตัวว่าถอนไปเป็นฝ่ายค้าน นี่คือเหลี่ยมแรกว่ามีความขัดแย้งอยู่กันไม่ได้ เมื่อเพื่อไทยมาเป็นฝ่ายค้านทั้งที่ไม่มีใครเป็นรัฐบาล เพื่อไทยก็จะดูดีจากการถอยออกมาตามที่มวลชนเรียกร้อง แต่ทันทีที่ได้ประธานสภา ก็จะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาล หลังจากนั้นคนก็จะเรียกร้องให้ไปเป็นรัฐบาล หากเรื่องนี้เป็นจริงก็จะเป็นการกะล่อนปลิ้นปล้อน เห็นได้ชัดว่าเกมนี้ก้าวไกลจะถูกทิ้งไว้ และไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะยอมหรือไม่ก็จะได้นายแพทย์ชลน่าน แต่ถ้าก้าวไกลอ่านกระดานการเมืองขาด ว่าถึงอย่างไรก็ต้องถูกทิ้ง การที่เด็กคบเจ้าสาวแก่อาจจะมีปัญหา พร้อมย้ำว่าการขยับทางการเมืองไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลรองรับ

 

ส่วนการทำหน้าที่ของกกต. แม้เรื่องของพรรคเพื่อไทยถูกร้องเรียนมาก่อน แต่เชื่อว่าครั้งนี้เรื่องของนายพิธาจะถูกนำมาพิจารณาก่อน


นายจตุพรยังกล่าวอีกว่าอย่าคิดว่าการวางแผนไม่มีใครจับได้ไล่ทัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือสามารถจัดตั้งได้ แต่จะอยู่ได้หรือไม่ เพราะจะไม่สู้หน้าใครและจะเป็นรัฐบาลที่ไร้เกียรติมาก ไปที่ไหนคนก็ไม่ยอมรับ

 

วันนี้ต้องยอมรับความจริงว่ามันจบแล้วใครที่คิดว่าจัดตั้งรัฐบาลได้ ตนก็เห็นใจนายพิธาที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นที่หนึ่ง ควรได้เป็นนายก แต่เมื่อกติกาเป็นแบบนี้ ก็น่าเห็นใจ นี่คือความอำมหิตทางการเมือง ที่ตนเคยบอกว่าก้าวไกลคือความแปลกแยก นักการเมืองเป็นสังคมพิเศษ เมื่อก้าวไกลพัดหลงเข้าไปในดงอำนาจและไม่มีทางปล่อยผ่านก้าวไกลก็จะไม่เหมือนคนอื่นจึงไม่มีใครอยากนั่งด้วย จึงฝากว่าเกมขณะนี้ไม่มีกลิ่นความเจริญ มีแต่กลิ่นความชิบหายจนไม่เหลืออะไรเลย