นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการสมุนไพรไทยของกระทรวงสาธารณสุข ก่อนการประชุม ครม. พร้อมโชว์สมุนไพรประดูทุ่งที่นำไปสกัดเป็นครีมหน้าขาว ก่อนบอกกับสื่อมวลชนว่า 'หน้าดำไม่เป็นไร แต่ใจอย่าดำ'

วานนี้ (30 ส.ค.) ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชิญชวนให้ข้าราชการแต่งกายด้วยผ้าไทย และใช้ผ้าซิ่น เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของไทย และส่งเสริมอุตสาหกรรมผ้าไทย โดยนายกฯ ขอความร่วมมือให้ข้าราชการสวมใส่ผ้าไทย และผ้าซิ่นในทุกวันอังคารและวันศุกร์ โดยวานนี้ (30 ส.ค.) ข้าราชการในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจำนวนมาก ได้พร้อมใจกันสวมใส่ผ้าไทย และผ้าซิ่นจำนวนมาก

หลังจากนั้นนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำคณะเข้าพบนายกฯเพื่อประชาสัมพันธ์งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 13 'สมุนไพรไทย เศรษฐกิจไทย อนาคตไทย' ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 4 กันยายนนี้ ที่อิมแพคเมืองทองธานี 

จากนั้นพลเอกประยุทธ์ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการของกระทรวงสาธารณสุข ช่วงหนึ่ง นายกฯ ได้โชว์สมุนไพรประดู่ทุ่งที่นำไปสกัดทำครีมหน้าขาวต่อสื่อมวลชน พร้อมบอกว่า 'หน้าดำไม่เป็นไรแต่ใจอย่าดำ' จากนั้นจึงได้นำครีมและสเปรย์ฉีดหน้ามาทดลองใช้กับผู้สื่อข่าว นอกจากนี้นายกฯ ยังได้ชิมเค้กที่ทำจากดอกดาวเรือง และน้ำสมุนไพรจากดอกแพรเซี่ยงไฮ้ ก่อนแจกยาหอมอัดเม็ดให้กับผู้สื่อข่าวด้วย พร้อมกล่าวว่า ยาหอมจะทำให้อารมณ์เย็นลง ซึ่งตนเองคงต้องกินวันละ 1 ขวด

บรรยากาศวานนี้ (30 ส.ค.) พลเอกประยุทธ์ ค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะมีตัวแทนนักแสดงเด็กเข้ามาร่วมงานด้วย โดยนายกฯ ได้พูดคุยหยอกล้อกับเด็กตลอดเวลา พร้อมบอกเด็กว่า 'ในอนาคตหากบ้านเมืองมีปัญหาให้โทษสื่อมวลชน' ก่อนจะเดินขึ้นไปประชุม ครม.

ภายหลังการประชุม ครม. นายกฯ กล่าวถึงการแก้ปัญหาการจราจรติดขัด หลังไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่รถติดอันดับหนึ่งของโลกว่า การแก้ปัญหารถติดต้องเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาก่อน เพราะที่ผ่านมาทุกคนอยากซื้อรถหมด บางคนขับรถไม่เป็นก็ยังซื้อรถ หรือ นโยบายรถคันแรกที่สนับสนุนให้คนซื้อรถ แต่ต้องยอมรับว่า กรุงเทพฯ มีความแออัดมากเกินไป จึงต้องหามาตรการใหม่ๆ ออกมาแก้ปัญหา เช่น การใช้รถวิ่งถนนบางเส้นทางที่ไม่มีเงินบำรุงรักษาอาจจะต้องเสียเงินเพิ่มเติมหรือไม่ หรือการกำหนดวันการวิ่งของรถทะเบียนเลขคู่และเลขคี่ ซึ่งตนเองจึงต้องวางผังเมืองใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองใหญ่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

พลเอกประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเตรียมเสนอให้ใช้มาตรา 44 ถอดยาบ้าออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 1 เพื่อให้แพทย์นำมาใช้ประโยชน์รักษาผู้ป่วยว่า จากที่พูดคุยกับพลเอกไพบูลย์ ไม่ได้พูดถึงการใช้มาตรา 44 แต่พลเอกไพบูลย์ชี้แจงว่า ลดระดับยาบ้า เป็นการเสนอวิธีการในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นแนวคิดสากล แต่ถ้าหากคนส่วนใหญ่รับไม่ได้ก็คงทำไม่ได้ และถ้าทำไม่ได้ก็คงไม่ดันทุรังทำ

พลเอกประยุทธ์ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังจากมีข่าวว่า นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลังเกษียณอายุราชการว่า นายโอฬารเป็นใคร ตนเองยังไม่รู้จัก แล้วตนเองจะแต่งตั้งอธิบดีขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีทำไม จากการพูดคุยกับพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทางพลเอกฉัตรชัย ระบุว่า ไม่รู้จักบุคคลที่สื่อนำเสนอข่าวแต่อย่างใด และจนถึงวันนี้ตนเองยังไม่มีแนวคิดเชิญข้าราชการเกษียณเข้ามาทำงาน

นายกฯ ยังกล่าวถึงส่วนกระแสข่าวว่า อาจแต่งตั้งพลเอกธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก และพลเอกกัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เข้ามาเป็นรัฐมนตรี หลังจากเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ว่า สื่อเป็นคนตั้งขึ้นมาเอง ซึ่งตนเองสอบถามจากพลเอกธีรชัย แล้ว แต่พลเอกธีรชัย ยืนยันว่า ไม่อยากเป็นอะไรทั้งนั้น อีกทั้งขณะนี้ทั้งสองคนก็เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อยู่แล้ว โดยยืนยันว่า การแต่งตั้งรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับการตอบแทนบุญคุณทั้งสิ้น เพราะทุกคนเป็นทหารต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน

ด้านพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกระแสข่าวการแต่งตั้งนายโอฬาร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรงเกษตรฯ ว่า ยังไม่ได้พิจารณาถึงเรื่องนี้ แต่การเพิ่มตำแหน่งคงจะพูดคุยในเร็วๆ นี้ แต่จะต้องดูคุณสมบัติหลายๆ อย่าง โดยจะส่งรายชื่อให้นายกฯ พิจารณาหลายชื่อ ซึ่งการเพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ จะต้องพูดคุยกับนายกฯ เป็นหลัก เพราะการปรับ ครม.เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของ นายกฯ

นายกฯประชุม ครม. โชว์ครีมหน้าขาว บอกหน้าดำได้แต่ใจอย่าดำ