จับตา ยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ยุบทิ้ง ศบค. พรุ่งนี้ มอบกลไก สธ.รับช่วงต่อ เตรียมแผนรองรับช่วงเปลี่ยนผ่าน ยืนยัน ไม่เกี่ยวไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค แค่หวังฟื้นเศรษฐกิจประเทศ ให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติ

 

วันที่ 22 ก.ย. 65 พลเอกสุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ​ ศปก.ศบค. ว่า ที่ประชุมวันนี้การหารือเรื่องสำคัญ ได้แก่การรับทราบสถานการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศให้ประชาชนทราบว่าขณะนี้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ โดยมีผู้ป่วยลดลง ทั้งที่เข้ารักษาพยายาล ผู้ป่วยอาการหนัก ผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิตที่ลดลง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ดำเนินการต่อเพื่อให้ตัวเลขน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย

ส่วนแผนการเปลี่ยนผ่านสู่โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังนั้น ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้รับความเห็นชอบจาก ศบค. ไปแล้ว และมีความก้าวหน้าจนเมื่อวานนี้ได้ประกาศเป็นโรคติดต่อไม่ร้ายแรง ซึ่ง ศปก.ศบค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาแผนรองรับ เพื่อกลับไปสู่กลไกปกติ โดยมีคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯ เป็นกลไกลสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข ในการเตรียมแผนการเปลี่ยนผ่าน

พลเอกสุพจน์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันที่ประชุม ศปก.ศบค. เห็นชอบเตรียมเสนอ ศบค. ชุดใหญ่ พิจารณายกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ในวันพรุ่งนี้ (23 ก.ย. 65) ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุมที่มีรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณา ซึ่งหากที่ประชุม ศบค. เห็นชอบยก พรก.ฉุกเฉิน ก็ต้องยุบ ศบค. อย่างแน่นอน รวมทั้งยุบหน่วยงานภายใต้ ศบค. รวมทั้งคำสั่งต่าง ๆ ที่ออกโดย ศบค. ก็ต้องยกเลิกทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้ที่ผ่านมาได้มีการเตรียมการไว้หมดแล้วว่า หากยกเลิกอะไรแล้วต้องเตรียมการอะไรมาบ้าง อย่างไรก็ตามหากที่ประชุม ศบค. เห็นชอบในวันพรุ่งนี้ก็จะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันทีวันที่ 1 ต.ค. นอกจากนี้วันนี้ถือเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของ ศปก.ศบค. ยกเว้น ศบค.ชุดใหญ่ จะมีข้อสั่งการอะไรพิเศษที่ต้องดำเนินการต่อ

เมื่อถามว่า การเสนอให้มีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ในช่วงนี้ สืบเนื่องจากประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคใช่หรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยว แต่ดูภาพรวมของประเทศ ซึ่งหัวใจสำคัญคืออยากให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติ และอยากให้ประชาชนมีอาชีพมีรายได้ ซึ่งที่ผ่านมาตัวเลขด้านการท่องเที่ยวดีมาก ชดเชยกับภาวะวิกฤตเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศหรือสถานการณ์ของโลก

เมื่อถามว่า มีข้อกังวลในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้หรือไม่ พลเอกสุพจน์ กล่าวว่า สิ่งที่กังวลเป็นพิเศษคือเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้ายกเลิกแล้วไม่ใช่ถอดหน้ากากหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการเลย ยังต้องมีมาตรากรป้องกันส่วนบุคคล เพราะจะเห็นว่าทุกวันนี้ยังมีคลัสเตอร์ย่อย ๆ ในกลุ่มสังคมที่มีการรวมตัวกัน แต่ภาพรวมภูมิคุ้มกัน ประชาชนในประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีมากมียาเพียงพอ โรงพยาบาลและหมอก็มีเพียงพอ

เมื่อถามว่า การเปิดให้ทุกคนใช้ชีวิตปกติ สามารถถอดหน้ากากได้ในชีวิตประจำวัน เหมือนที่สหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ที่มีการประกาศไปแล้ว ในประเทศไทยจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด พลเอกสุพจน์ กล่าวว่า ช่วงนี้เราก็ปกติ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำมา จะเห็นว่าทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เสียหายทีเดียว โดยต้องคำนึงความเสียหายของประชาชนเป็นหลักจึงต้องค่อย ๆ ปรับตัว