ปิดฉากคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก “วัฒนา เมืองสุข” 99 ปี พร้อมสั่งร่วมชดใช้เงิน 89 ล้านบาท ส่งเข้าเรือนจำทันที


วันที่ 4 มี.ค.2565 - นานกว่า 2 ชั่วโมงที่องค์คณะอุทธรณ์คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร อ่านคำพิพากษาการยื่นอุทธรณ์ของนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากนั้นศาลมีมติเสียงข้างมากชี้ความเกี่ยวข้องระหว่างนายวัฒนา และนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง ที่เป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ แม้นายวัฒนาจะอ้างว่าไม่เคยแต่งตั้งแต่องค์คณะอุทธรณ์ชี้พฤติการณ์ว่าเสี่ยเปี๋ยงแสดงออกให้เห็นว่าเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีการส่งเอกสารของการประชุมการเคหะส่งถึงเสี่ยเปี๋ยงว่าเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคม พร้อมชี้ว่ามีกระบวนการเรียกรับผลประโยชน์จากคำให้การของผู้ประกอบการ โดยอาศัยการแก้ไข TOR

ศาลยังมีมติเอกฉันท์ว่านายวัฒนา ในฐานะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแล การเคหะแห่งชาติ และกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 ในการเรียกรับสินบนกับผู้ประกอบการที่เข้าประมูลโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ คำอุทธรณ์ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น

และมีมติเอกฉันท์ เห็นว่าโจทก์ หรือ ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด มีอำนาจฟ้องคดีโดยชอบด้วยกฎหมายหลังจากที่ คตส. ไต่สวนคดีผ่านการแต่งตั้งโดยประกาศ คมช.ฉบับที่ 30 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2549 และการไต่สวน คตส.ก็ชอบด้วยกฎหมาย

อีกประเด็นหนึ่งคือคำอุทธรณ์เรื่องว่าศาลมีอำนาจริบเงินที่ได้จากการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่นั้น ศาลปรับแก้จากเดิมว่าศาลมีอำนาจริบเงินตกเป็นของแผ่นดินโดยอ้างอิงพระราชบัญญัติว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จากเดิมมาตรา 42 และ 43 เป็นมาตรา 33(2) โดยจำเลยคือนายวัฒนา เสี่ยเปี๋ยง และบริษัทเพรสซิเดนส์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ต้องร่วมกันชดใช้เงิน 89 ล้านบาท ภายใน 30 วัน หากเกินจะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5

นอกจากนี้ศาลยังออกหมายจับ นางสาวกรองทอง วงศ์แก้ว และนางสาวรุ่งเรือง ขุนปัญญา พนักงานบริษัท บจก.เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ที่หลบหนีคดีให้มาฟังคำพิพากษาในวันที่ 27 เมษายน 2565 เวลา 14:00 น.

ทั้งนี้มีรายงานว่าในระหว่างการฟังคำพิพากษานายวัฒนามีสีหน้าเคร่งเครียด และใช้มือเขียนบนโต๊ะตลอดเวลา บางช่วงก็เขี่ยมือตัวเองสลับกับมองเพดานห้อง

โดยหลังศาลพิพากษาแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้ส่งตัวนายวัฒนาไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และจะเข้าสู่กระบวนการกักตัว 21 วันตามมาตรการคัดกรองโควิด-19 ขณะเดียวกันนายวัฒนาได้นำเข็มขัดที่ใส่มาให้คนใกล้ชิดนำกลับบ้าน พร้อมสั่งให้คนขับรถนำรถไปซ่อม

สำหรับนายวัฒนา ปัจจุบันเคลื่อนไหวทางการเมือง ร่วมกับ พรรคไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ การต้องโทษในครั้งนี้จะทำให้ นายวัฒนา หมดสิทธิ์เข้าสู่เส้นทางการเมืองได้อีกตลอดชีวิต เนื่องจากรัฐธรรมนูญห้ามบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำคุก ลงสมัคร ส.ส.

ด้านนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์  ทนายความของนายวัฒนา เมืองสุข กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษา ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องการต่อสู้คดีหลังจากนี้ ซึ่งมีประเด็นที่ต้องกลับไปคิดและทบทวนตั้งแต่ศาลต้นถึงชั้นอุทธรณ์มีการดำเนินการผิดพลาดหรือบกพร่องอย่างไรหรือไม่

ทั้งนี้ ตนเองได้คุยกับนายวัฒนาภายในบัลลังก์ นายวัฒนายอมรับคำพิพากษาเพราะเป็นกติกาของกระบวนการยุติธรรม ไม่มีโอกาสที่จะไม่ยอมรับ แต่การยอมรับคำพิพากษา ตัวนายวัฒนาไม่ได้ยอมรับว่ากระทำผิด และได้ฝากตนเองมาบอกว่าการต่อสู้ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงวันนี้ไม่ได้หลบหนีเป็นการแสดงเจตนาว่ามั่นใจในความบริสุทธิ์ แต่นายวัฒนาก็เคารพในการตัดสินของกระบวนการยุติธรรม และวันนี้ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าหรือรองเท้ามาเพื่อจะเข้าเรือนจำ

ทนายความ ยังกล่าวถึงคำพิพากษา ในประเด็นที่สู้ว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่เป็นเพียงรัฐมนตรีกำกับดูแล การจ่ายเงินกลั่นกรอง เป็นเรื่องของคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ ในส่วนพยานที่เบิกความ เกิดจากการจูงใจ ซึ่งรับฟังไม่ได้ และในส่วนที่นายอภิชาติ เป็นที่ปรึกษาของนายวัฒนาหรือไม่ ซึ่งศาลบอกว่าจำเลยที่1 ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับมีหน้าที่ต้องรู้ และเชื่อว่าควรจะรับรู้ เมื่อหมดประเด็นสู้ศาลก็ยืนตามศาลชั้นต้น สั่งจำคุก 50 ปี และส่วนของการยึดทรัพย์แม้มีอำนาจ แต่ก็ดูขัดกันในทางกฎหมายอยู่บ้าง

ส่วนที่นายวัฒนาให้สัมภาษณ์ ว่า คดีนี้เป็นคดีการเมือง100% นั้น ทนายมองว่า ตนเองไม่สามารถก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาล แต่เชื่อว่าตัดสินตามพยานหลักฐาน ส่วนเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่นั้น เชื่อว่าเมื่อคำพิพากษาอย่างละเอียดออกมาประชาชนจะใช้วิจารณาญาณเองได้ว่าเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่

เมื่อถามว่า คดีที่ถูกฟ้องโดยคณะกรรมการการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) รอดมาโดยตลอดแต่ทำไมคดีนี้ถึงไม่รอด ทนาย กล่าวว่า รู้สึกตกใจที่ตนเองอาจจะผิดพลาด พร้อมย้ำว่านายวัฒนาเป็นคนเข้มแข็งและไม่พูดจาก้าวล่วงต่อศาล ซึ่งระหว่างนี้ตนเองขอให้นายวัฒนาได้ตั้งหลักก่อน และจะประสานกับราชทัณฑ์ถึงการดำเนินการนำยารักษาโรคส่งให้นายวัฒนาเนื่องจากมีโรคประจำตัวหลายโรค