อธิบดีปศุสัตว์ ลั่น ไม่ลาออก! เซ่นปมอหิวาต์หมู ปัดปิดข่าวเอื้อรายใหญ่ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ คมชัดลึก เนชั่น
13 ม.ค. 2565 นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวถึง ประเด็นที่มีการกล่าวหากรมปศุสัตว์ปิดบังข้อมูลโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่ผ่านมา เพราะเอื้อผู้เลี้ยงสุกรรายใหญ่ ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะผู้เลี้ยงสุกรรายใหญ่อยู่ในระบบฟาร์มมาตรฐาน และธุรกิจของผู้ประกอบการกลุ่มนี้สามารถเดินหน้าต่อได้อยู่แล้ว
ข้อกล่าวหาว่า ปศุสัตว์เอื้อการส่งออกให้กับรายใหญ่ สามารถโชว์ข้อมูลให้ดูได้เลยว่า มีแต่ผู้เลี้ยงสุกรรายกลาง และรายย่อยเท่านั้น ที่มีการส่งออกหมูเป็นไปที่กัมพูชา และเวียดนาม
นายสัตวแพทย์สรวิศ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่พบเกษตรกรกำจัดหมูโดยนำใส่โอ่ง ที่ จ.นครปฐม และทำเป็นปุ๋ยขายนั้น อยากให้เกษตรกรแจ้งให้กรมรับทราบ พอมีกรณีนี้มีการแจ้งมาย้อมหลังทางกรมก็จะมีการตรวจสอบย้อนหลังเช่นกันว่า ทำไมตอนเกิดเหตุไม่แจ้งกรม
ส่วนหลังจากนี้ ได้ร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายกสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายอยากให้ผู้เลี้ยงสุกรที่เหลืออยู่เดือดร้อนน้อยที่สุด เพราะนั้นการประกาศโรคไม่ได้หมายความว่า ทั่วประเทศจะพบโรคระบาดทั้งหมด แต่จะมีการเฝ้าระวังมากขึ้น หากตรวจพบเชื้อกรมจะเร่งประกาศควบคุมพื้นที่ เพื่อไม่ให้กระจายไปสู่พื้นที่อื่นต่อไป หลังจากนี้จะมีการสุ่มตรวจในทุกพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
“ในการทำงานตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าหนักที่สุด เพราะตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ในปี 2561 ก็เจอปัญหา โรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า (เอเอชเอส) และลัมปีสกิน ก็ผ่านมาได้ และขอพูดเลยว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำงานด้วยความตั้งใจ และซื่อสัตย์สุจริต
ดังนั้น คิดว่าทุกคนรวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ ก็น่าจะเห็นถึงความตั้งใจที่ผมต้องการทำงานให้ดีที่สุด เพื่อผู้เลี้ยงสุกร และสัตว์อื่น ๆ จนกว่าจะเกษียณราชการในอีก 8 เดือนข้างหน้านี้ ที่จะเกษียณและยืนยันว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่งแม้โดนกดดันจากหลายฝ่าย เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ทุจริต และผมมั่นใจว่าตัวเองทำผลงานได้ดีที่สุดแล้ว” นายสัตวแพทย์สรวิศ กล่าว
ส่วนในเรื่องของการส่งออกนั้น ปัจจุบันได้หยุดการส่งออกตามข้อสั่งการของกระทรวงพาณิชย์แล้ว เพื่อให้ราคาขายเนื้อสุกรภายในประเทศลดลง ส่วนผลิตภัณฑ์แปรรูปมองว่ายังสามารถส่งออกได้ไม่มีปัญหา
นอกจากนี้ ยังได้เตรียมวางแผนช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย ที่มีมาตรฐานฟาร์ม GFM จะจูงใจให้กลับมาเลี้ยงสุกรอีกครั้งโดยการทำประกันภัยสุกร แต่รายละเอียดจะเป็นอย่างไรต้องมาหารือร่วมกันอีกครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม คาดว่า หมูแพงครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากสุกรตายจากโรคระบาด จากการตรวจสอบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Movement) พบว่า การเคลื่อนย้ายสุกรในปี 2563 และ 2564 ต่างกันเพียง 1 ล้านตัวเท่านั้น สุกรไม่ได้หายไปจากระบบ 50-60% อย่างที่พูดกัน
ซึ่งขณะนี้ ปศุสัตว์จังหวัดอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริงว่ามีสุกรหายไปจากระบบเท่าไหร่ จึงจะกำหนดนโยบายในการควบคุมต่อไป และคาดว่าประชาชนจะต้องบริโภคหมูแพงไปอีก 8-12 เดือน ส่วนแนวทางจะเป็นอย่างไร จะมีการรายงานให้ประชาชนและทุกฝ่ายทราบต่อไป