ประชุมใหญ่สามัญ ปชป.คึกคัก 'จุรินทร์' ขอพรรคสามัคคี หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ลั่นพร้อมให้โอกาสคนทำงาน ขอบคุณ 'อภิสิทธิ์' จะช่วยหาเสียงเลือกผู้ว่าฯ กทม. ด้าน 'เดชอิศม์' นั่งรองหัวหน้าพรรคภาคใต้คนใหม่ ขณะที่ 'ชัยชนะ เดชเดโช' ได้รองเลขาธิการพรรค แทน 'อันวาร์ สาและ'
พรรคประชาธิปัตย์ ประชุมใหญ่สามัญพรรคประชาธิปัตย์ ประจำปี 2564 โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค, นายชวน หลีกภัย, นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคและอดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงนายบัญญัติ บรรทัดฐาน และสมาชิกพรรคเข้าพรรคประชุมอย่างพร้อมเพรียง
โดยมีวาระการประชุม เพื่อรับรองรายงานการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ประจำปี 2563 ครั้งที่ 1 พ.ศ.2563 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2563 การดำเนินการตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 43 และ มาตรา 61 รายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปีที่ผ่านมา รับรองงบการเงิน ประจำปี 2563 พิจารณาแผนยุทธศาสตร์ของพรรค แผนหรือโครงการที่จะดำเนินการกิจกรรมสำหรับปีต่อไปโดยเฉพาะการหารายได้ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ในทางการเมืองและการพัฒนาบุคลากรทางการเมือง และมีวาระสำคัญคือ การเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคแทนตำแหน่งที่ว่างลง

โดยนายจุรินทร์ กล่าวกับสมาชิกในที่ประชุมว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เปรียบเหมือนเครื่องบิน แม้จะตกหลุมอากาศบ้าง แต่ก็ผ่านมาได้ อาจมีเลือดไหลออก แต่ก็มีเลือดใหม่ไหลเข้า เลือดเก่าไหลกลับ ถือว่าเป็นพรรคการเมืองของทุกรุ่น และต้องยอมรับว่า หลังการเลือกตั้งปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นพรรคขนาดกลาง มีเพียง 52 ที่นั่ง การตัดสินใจ จึงแบ่งเป็น 2 ทาง คือเป็นฝ่ายค้านหรือร่วมรัฐบาล แต่สุดท้ายพรรคก็ตัดสินใจ เข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ด้วยการลงมติ ภายใต้เงื่อนไขในการเลือกกระทรวงหลัก ก็คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ได้มาโดยการเจรจา ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญ คือการทำงานเพื่อประชาชน ภายใต้วิสัยทัศน์ เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด ผู้ด้อยโอกาสต้องได้รับการดูแล จึงทำให้สามารถมีโอกาสดูแลประชาชนทั่วประเทศในหลากหลายอาชีพ ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านคน รวมถึงเงื่อนไขนโยบายที่รัฐบาลต้องนำประกันรายได้เข้าไปเป็นนโยบายของรัฐบาล และการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการยึดหลักซื่อสัตย์ สุจริต ซึ่งนายจุรินทร์ ประกาศยืนยันว่า สามารถทำได้ครบแล้ว
ขณะเดียวกัน ยังกล่าวถึงข่าวสะเทือนใจ การลดโทษให้กับนักโทษในคดีทุจริตจำนำข้าว เหลือเพียงไม่ถึง 10 ปี ได้สร้างกระแสไม่ยอมรับในสังคม ที่การลดโทษเป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ที่มีอธิบดีตัดสินใจเพียงคนเดียว และในกฎหมายกรมราชทัณฑ์ก็มีช่องโหว่ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงขอเสนอแก้ไข กฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้การลดโทษในคดีทุจริต เป็นอำนาจของศาล ไม่ใช่อำนาจของกรมราชทัณฑ์เพียงอย่างเดียว ถือเป็นการตอกย้ำอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยึดความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ตั้ง
ทั้งนี้ จากการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์อย่างหนักภายใต้สโลแกน ทำได้ไว ทำได้จริง เชื่อมั่นว่าประชาชนมองเห็นและให้การต้อนรับมากขึ้น โดยเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์มาถูกทางแล้ว
นายจุรินทร์ ยังยืนยัน ว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีความเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เพียว ๆ เศรษฐกิจปากท้อง ต้องเดินไปด้วยกัน และขอฝากให้พวกเราช่วยกันทุ่มเท รณรงค์เลือกตั้งซ่อม ส.ส.สงขลา และชุมพร รวมถึงเลือกตั้งผู้ว่า กทม. โดยให้ระดม สรรพกำลังทั้งหมด และที่สำคัญขอให้พวกเรามีความสามัคคีช่วยกันทำงานเพื่อพรรค ยืนยัน คนที่ทำงานทุ่มเท และเสียสละเพื่อพรรค พร้อมให้โอกาสทุกคนโดยไม่ลังเล เพราะเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไปข้างหน้า และจะทำให้ได้รับชัยชนะ แม้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคใหญ่ที่สุด แต่เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในพรรค ที่ประชาชนตั้งความหวังไว้มากที่สุด เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของประชาชน ต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง พร้อมย้ำภารกิจ 2 ปีเศษที่ผ่านมาต้องพิสูจน์ว่าอะไรที่พรรคพูดกับประชาชน เราทำได้และขึ้นปีที่ 3 เราต้องเดินหน้าต่อไป ทำได้ไว ทำได้จริง และจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
นายจุรินทร์ ยังขอบคุณสมาชิกพรรค ขอบคุณกรรมการบริหารพรรค ส.ส. และนายอภิสิทธิ์ ที่จะร่วมมือกับพรรคในการรณรงค์หาเสียงผู้ว่าฯ กทม.
จากนั้นได้เข้าสู่วาระสำคัญการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคแทนตำแหน่งที่ว่างลง ในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ โดยเป็นการแข่งขัน ระหว่าง นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช และนายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา โดยนายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวเสนอชื่อนายเดชอิศม์ ขณะที่นายสินิตย์ เลิศไกร ส.ส.สุราษฎร์ธานี ได้เสนอชื่อนายชินวรณ์
ซึ่งผลการเลือกรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ นายเดชอิศม์ ได้รับเลือกด้วยคะแนน ร้อยละ 58 ขณะที่นายชินวรณ์ ได้คะแนนร้อยละ 39 ขณะที่ตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค ผู้ที่ได้รับเลือกคือ นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช โดยไม่มีผู้อื่นลงแข่งขัน


















