ละเอียดยิบ! คำพิพากษาศาลฎีกาลงโทษ 'สุธรรม มลิลา' อดีตบิ๊ก ทศท. เอื้อประโยชน์เอกชน ลดส่วนเเบ่งรายได้ ทำองค์การโทรศัพท์เสียหาย ตัดสินให้ชดใช้ 4.6 หมื่นล. ยืนโทษจำคุก 6 ปี
ทีมข่าวออนไลน์ช่อง 8 รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้อกกันเเละปราบปรามการทุจริตเเห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยเเพร่คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 3483/2563 อัยการสูงสุด โดย พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 โจทก์ นายสุธรรม มลิลา จำเลย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้ร้อง
กรณีกล่าวหานายศุภชัย พิศิษฐวานิช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ทศท. กับพวก รวม 15 คน แก้ไขสัญญาสัมปทาน (ครั้งที่ 6) เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid Card) ให้บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด โดยมิชอบ มติครั้งที่ 625 - 93/2547 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2557 การกระทำของนายสุธรรม มลิลา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 มีมูลเป็นความผิดทางอาญา ตามมาตรา 151 เเละมาตรา 157 ประกอบพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์เเห่งประเทศไทย พ.ศ. 2497 มาตรา 17
ทั้งนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยในฐานะผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์เเห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการองค์การโทรศัพท์เเห่งประเทศไทย โดยตำเเหน่งเเละเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ปกปิดไม่เเจ้งให้ที่ประชุมคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์เเห่งประเทศไทยทราบในการประชุมครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2544 ถึงข้อเท็จจริงที่นายวิเชียร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ มีความเห็นว่า
"ที่บริษัท เอไอเอส มีหนังสือขอให้องค์การโทรศัพท์เเห่งประเทศไทยพิจารณาปรับลดอัตราส่วนเเบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เเบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าตามสัญญาหลัก โดยกล่าวอ้างว่า องค์การโทรศัพท์เเห่งประเทศไทย ปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายสำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า “Prompt” ให้แก่บริษัททีเอซี จากอัตรา 200 บาท ต่อเลขหมายต่อเดือน เป็นอัตราร้อยละ 18 ของราคาหน้าบัตรนั้น เป็นการกำหนดอัตราค่าเชื่อมโยงขึ้นใหม่เพิ่มเติมสำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แบบจ่ายเงินล่วงหน้า ไม่ใช่การปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายตามที่บริษัทเอไอเอสกล่าวอ้างและจำเลยไม่แจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยในการประชุมครั้งที่ 5 ดังกล่าวว่าบริษัททีเอซีจ่ายผลประโยชน์แทนให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยสูงกว่าบริษัทเอไอเอสจ่าย"
กล่าวคือ บัตรราคา 500 บาท บริษัททีเอซี จ่ายให้ 172 บาท ในขณะที่ บริษัทเอไอเอสจ่ายให้ 125 บาท จนเป็นเหตุให้ คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมีมติในการประชุมครั้งที่ 5/2544 ให้ลดส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริหารโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าที่บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจากอัตราร้อยละ 25 ถึง 30 ตามสัญญาหลักลงเหลืออัตราร้อยละ 20 ทำให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้ ทั้งรายได้ในอนาคต เป็นต้น เงินและดอกเบี้ยรวมจำนวน 93,710,927,981.84 บาท
ประกอบกับหลังจากจำเลยลงนามในสัญญาลดส่วนแบ่งรายได้ ครั้งที่ 6 ให้แก่บริษัทเอไอเอสเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2544 โดยกำหนดให้บริษัทเอไอเอสจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนสำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยในอัตราร้อยละ 20 ตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้ว แต่ในการประชุมคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 8/2544 เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2544 จำเลยกลับรายงานต่อที่ประชุมว่าอยู่ระหว่างดำเนินการร่างข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 6 ทั้ง ๆ ที่ความจริงจำเลยได้ลงนามในข้อตกลงครั้งที่ 6 ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 2544 โดยในข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 6 มิได้กำหนดข้อตกลงให้มีการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การเรียกเงินส่วนแบ่งรายได้ในโอกาสต่อไปตามที่คณะกรรมการ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมีมติในการประชุมครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2544 และในการประชุมครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2544 นอกจากคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจะมีมติให้ลดส่วนแบ่งรายได้ที่บริษัทเอไอเอสต้องจ่ายลงเหลือในอัตราร้อยละ 20 แล้ว ยังกำหนดเงื่อนไขให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยติดตามผลการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การเรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้ในโอกาสต่อไป แต่จำเลยมิได้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยกำหนด เงื่อนไขดังกล่าวจนกรรมการ 7 คน พ้นจากหน้าที่เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2544
พฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดถึงเจตนาของจำเลยที่จะเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอไอเอสได้รับผลประโยชน์จากการลดส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าที่บริษัทเอไอเอสต้องจ่ายให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เมื่อจำเลยเป็นผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ซื้อทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ไม่รักษาผลประโยชน์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย แต่กลับเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทเอไอเอสอันเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง
โดยสูญเสียรายได้เป็นต้นเงินจำนวน 66,060,686,735.94 บาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และการกระทำของจำเลยดังกล่าว ยังถือได้ว่าเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่ง ผู้ใดและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อีกด้วย แต่เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ต้องปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามบททั่วไปตามมาตรา 157 อีก และโดยจำเลยมีเจตนาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท เอไอเอสเป็นการกระทำที่จำเลยมีส่วนบกพร่องต่อหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย มากกว่ากรรมการจำนวนอีก 7 คน ที่มีส่วนบกพร่องต่อหน้าที่รักษาผลประโยชน์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
กรณีจึงมีเหตุสมควรให้จำเลยร่วมรับผิดในความเสียหายที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้จากการที่คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอนุมัติให้ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่บริษัทเอไอเอสไปเป็นเงินจำนวน 66,060,686,735.94 บาท เป็นจำนวนกึ่งหนึ่ง คิดเป็นเงินที่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องจำนวน 33,030,343,367.97 บาท
พิพากษาลงโทษจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) จำคุก 9 ปี พยานหลักฐานที่จำเลยนำเข้า ไต่สวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี และให้จำเลยชำระเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 33,030,343,367.97 บาท นับแต่วันที่ 4 ก.ค. 2559 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไป