รอลงอาญา 1 ปี "อดีตพุทธะอิสระ" ทำร้าย ตร.สันติบาล ในม๊อบ กปปส.

วันนี้ ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาในคดีทำร้ายตำรวจสันติบาลในที่ชุมนุม กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ หมายเลขดำ อ.2498/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และแกนนำ กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะ เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยการใดให้เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ฯ ให้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายฯ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310 ประกอบมาตรา 83
 
คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 เวลากลางวัน ขณะนั้นมีการตั้งเวทีปราศรัยของกลุ่ม กปปส.ที่ ถ.แจ้งวัฒนะ บริเวณหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีจำเลยเป็นหัวหน้าผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณเวทีดังกล่าวทั้งหมด โดยจำเลยกับกลุ่มบุคคลไม่ทราบชื่อจำนวนมากกว่า 5 คนขึ้นไป ซึ่งทำหน้าที่เป็นการ์ดคอยดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณเวทีปราศรัยที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบูรพงศ์ ผู้เสียหายที่ 1-2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้เข้าไปทำหน้าที่สืบสวนหาข่าว
 
จำเลยกับพวกได้ใช้กำลังจับผู้เสียหายทั้งสองปิดตา มัดมือไพล่หลัง ใช้กำลังประทุษร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัส กระดูกซี่โครงหักและตับฉีกขาด บาดแผลใช้เวลารักษาตัวประมาณ 6 สัปดาห์ ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย มีบาดแผลฟกช้ำหลายแห่ง ฟันซ้ายล่างหัก ใช้เวลารักษาตัวประมาณ 10 วัน และเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองถูกประทุษร้ายสูญหายมูลค่ารวม 60,900 บาท
 
นอกจากนี้ จำเลยกับพวกยังร่วมกันข่มขู่ให้ผู้เสียหายทั้งสอง บอกรหัสปลดล็อคโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหาย ให้บอกว่าตนเป็นผู้ใด เข้ามาบริเวณที่ชุมนุมเพื่ออะไร เมื่อไม่ยอมบอกพวกของจำเลยจึงใช้กำลังประทุษร้ายและข่มขู่จนผู้เสียหายทั้งสองต่างจำยอมตามที่พวกของจำเลยข่มขู่ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ควบคุมการชุมนุมมีอำนาจสั่งการให้พวกของจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้ จำเลยทราบว่าพวกของจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทั้งสองไว้ แต่กลับเพิกเฉยไม่สั่งให้ปล่อยตัวไป และสั่งการพวกของจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทั้งสองไว้เป็นเวลาหลายชั่วโมง เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ทั้งนี้อัยการได้ขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขดำ อ.247/2561 (คดีกบฏ กปปส.) ด้วย ซึ่งจำเลยได้รับการประกันตัวในภายหลัง โดยศาลตีราคาประกัน 200,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นได้รับอนุญาตจากศาล
 
โดยในการเดินทางมาในวันนี้ อดีตพระพุทธะอิสระเดินทางมาด้วยรถตู้สีขาว เข้ามาจอดบริเวณด้านหลังอาคารศาล ระหว่างลงจากรถต้องให้ลูกศิษย์ช่วยพยุงลงมาก่อนนั่งรถเข็น พร้อมถือร่มกางให้ เนื่องจากสภาพร่างกายอ่อนแรง ก่อนเข้าไปยังห้องเวรชี้ใต้ถุนศาลอาญาเพื่อสอบคำให้การ
 
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความ เผยว่า อดีตพระพุทธะอิสระมีอาการป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หลังจากถูกปล่อยชั่วคราว โดยแพทย์วินิจฉัยระบุว่า อาการป่วยหมอนรองกระดูกรุนแรง และต้องทำการรักษาและพักฟื้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาวันที่12 กันยายน ที่ผ่านมาที่เป็นวันนัดสอบคำให้การ อดีตพระพุทธะอิสระให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยศาลมีคำสั่งให้สำนักงานคุมประพฤติสืบเสาะประวัติและพฤติการณ์ของอดีตพระพุทธะอิสระประกอบทำคำพิพากษา ก่อนนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้
 
ศาลพิเคราะห์เเล้วเห็นว่าจำเลยมีความผิดคามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309,310 ประกอบ 83 การกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวฯ ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยรับสารภาพ ลดโทษเหลือ 1 ปี 6 เดือน ประกอบกับรายงานพินิจการสืบเสาะไม่ปรากฎว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เเละยังมีการบรรเทาผลร้ายชดใช้เยียวยาค่าเสียหายเเก่ผู้เสียหาย เห็นควรให้โทษจำคุกรอลงอาญาไว้ 1 ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากคดีที่โดนฟ้องว่าเป็นกบฎ นั้นเรื่องจากคดีดังกล่าวยังไม่มีคำพิพากษาให้ยกคำร้อง