นายกรัฐมนตรี นำ ครม.ลงพื้นที่ "สุพรรณฯ - อยุธยา" กราบหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลย์ เจ้าอาวาสแนะใช้สติ ทำงาน หาเหตุแห่งทุกข์ให้เจอ หากเครียดให้นับ 1 ถึง 10 กำหนดลมหายใจ ขณะที่ นายกฯ กล่าวสาบานต่อหน้าน้ำ ไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์

เช้าวานนี้ (18 ก.ย.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา เพื่อประชุม ครม.นอกสถานที่ ระหว่างวันที่ 18-19 กันยายน

นายกรัฐมนตรี ได้ใช้รถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีเทา หมายเลขทะเบียน ฌท 55 สุพรรณบุรี เดินทางมายังวัดป่าเลไลย์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นสถานที่แรก และได้เข้ากราบ สักการะหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์ จากนั้นได้ห่มผ้าองค์หลวงพ่อโต ก่อนกราบขอพรจากพระธรรมพุทธิมงคล ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าเอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร

โดยพระธรรมพุทธิมงคล ได้มอบรูปเหมือนหลวงพ่อโตหน้าตัก 3 นิ้ว และหนังสือสวดมนต์ให้กับนายกรัฐมนตรี พร้อมมอบเหรียญหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ ทำจากสตางค์เก่าให้กับคณะรัฐมนตรี และคณะผู้ติดตาม

ขณะเดียวกัน พระธรรมพุทธิมงคล ได้สนทนาธรรม พร้อมกล่าวกับ นายกรัฐมนตรี ว่า หากมีเรื่อง ที่ทำให้เครียด ก็ขอให้หายใจเข้าทางจมูกลึก ๆ และหายใจออกทางปาก ให้นับ 1 ถึง 10 สวดมนต์ก่อนนอนวันละครั้ง

ขณะที่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะนำคำสั่งสอนของหลวงพ่อไปปฏิบัติ ที่ผ่านมาตนเอง ก็ได้ปฏิบัติมาบ้างแล้ว และก่อนนอน ก็ได้สวดมนต์ทุกคืน

ต่อมาพระธรรมพุทธิมงคล ได้ขอจับมือ นายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวว่า มือคนเราต้องว่าง แบมือออกมา มือต้องว่างจึงจะสามารถหยิบทุกอย่างได้ จงทำให้เหมือนมือ อย่ายึดถือไม่ยอมวาง ถ้ากำอะไรไว้ หากจะหยิบของใหม่โดยไม่วางของเก่าก็หยิบไม่ได้

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับประชาชนที่มารอต้อนรับ พร้อมกล่าวช่วงหนึ่งว่า การลงพื้นที่แม้อากาศจะร้อน แต่ไม่รู้สึกร้อนแดด แต่ร้อนใจเพราะเป็นรัฐบาลที่ต้องทำหลายเรื่องให้แล้วเสร็จ บางครั้งอาจพูดจาไม่เข้าหู แต่ใจดีกับทุกคน ซึ่งการลงพื้นที่ ไม่ได้ให้ทุกคนมารัก แต่อยากให้รักประเทศชาติ ส่วนรัฐบาลจะแบกรับความทุกข์ของประชาชนไว้ทั้งหมด โดยจะแก้ไขปัญหาให้ได้ อย่างน้อย 3 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อยไม่มีการประท้วง

แม้วันนี้จะมีคนเกลียดทั้งประเทศก็ยอม หากทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ และพร้อมรับฟังความเห็นที่สร้างสรรค์ แต่หากด่าไม่มีเหตุผลแล้วปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ดังนั้นคนทั้งประเทศต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงด้วยการเลือกตั้ง หารัฐบาลเข้ามา เพราะไม่สามารถเลือกตั้งแทนทุกคนได้ แต่ขออย่าเลือกผิดอีก

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า คดีความต่างๆ ทุกเรื่อง ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและอยู่รับการพิจารณาคดีให้ครบ และปล่อยให้ศาลทำงาน หากไม่ทำก็จะกลายเป็นการละเว้น ยืนยันว่าไม่เคยไล่ล่าใคร

จากนั้น นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้เดินทางมาที่สถานีสูบน้ำปลายคลองทองอยู่ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางบาล สำนักงานชลประทานที่ 10 ตำบลบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำ ก่อนทำการเปิดประตูระบายน้ำและพันธุ์ สัตว์น้ำ ตามโครงการ "ปล่อยน้ำเข้านา ปล่อยปลาเข้าทุ่ง" จำนวน1,460,000 ตัว และพันธุ์กุ้งก้ามกราม 2 แสนตัว เข้าทุ่งรับน้ำบ้านแพน บางบาล ผักไห่ เจ้าเจ็ด และป่าโมก

ก่อนที่ นายกรัฐมนตรี จะพบปะประชาชนและเกษตรกรที่มารอต้อนรับ พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า ดีใจที่ได้มาร่วมโครงการ "ปล่อยน้ำเข้านา ปล่อยปลาเข้าทุ่ง" ซึ่งเป็นโครงการที่ดี และรัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนและสืบสานโครงการนี้ต่อ

พร้อมอยากให้ชาวนาเลิกล้มการปลูกข้าวที่เกินความจำเป็น โดยไม่สนใจการตลาด และขออย่าไปฟังใครว่าจะแก้ได้ เพราะตนเองมีอำนาจขนาดนี้ยังแก้ได้แค่นี้ และตนเองไม่สามารถใช้มาตรา44 บอกน้ำอย่าท่วม ฝนอย่าตกไม่ได้ ดังนั้นภาครัฐ เอกชนต้องร่วมมือกัน ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนให้มีโรงเรียนชาวนาทุกพื้นที่

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังได้ขอให้ประชาชน ร่วมมือกับรัฐบาล เป็นประชารัฐ มากกว่ามาโทษว่ารัฐบาลห่วย เฮงซวย เศรษฐกิจแย่ ดังนั้นจึงต้องร่วมกันสร้างสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต ไม่ใช่รอแต่รัฐบาล และโทษกันไปมา พร้อมขอสาบานต่อหน้าน้ำว่า ไม่เคยได้รับผลประโยชน์ ส่วนนักการเมืองที่ถามว่าเมื่อไหร่จะมีการเลือกตั้งนั้น ยืนยันว่ายังคงเป็นไปตามโรดแมป

จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางต่อไปที่โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา เพื่อประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 17 จังหวัดในภาคกลาง และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อมอบนโยบายพร้อมรับฟังการนำเสนอทิศทางการพัฒนาภาคกลาง

ก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลและส่งเสริมให้ภาคกลางเป็นมหานครที่ทันสมัยและเป็นฐานการเชื่อมโยงประเทศไทยสู่เส้นทางขนส่ง 2 ฝั่งทะเล

"นายกฯ" ลงพื้นที่ "สุพรรณฯ - อยุธยา" สาบานต่อหน้าน้ำ ไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์