กองปราบปราม เล็งเอาผิด "น้ำมนต์" ต้มตุ๋นหลอกชายแต่งงาน ในข้อหาฟอกเงิน หากมีผู้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะมีผู้เสียหายจำนวนมาก

 

ฝากขัง "น้ำมนต์" คัดค้านการประกันตัว เพราะยังสอบไม่เสร็จ

วานนี้ ช่วง 10.00 น. ตำรวจภูธรประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ นำตัว นางสาว จริยาภรณ์ บัวใหญ่ หรือ น้ำมนต์ อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง หลอกลวง เจ้าบ่าว 13 คน แต่งงานแล้วเชิดสินสอดหนี ไปยื่นคำร้องฝากขังต่อศาลจังหวัดธัญบุรี  โดยคุมตัวไปพร้อมผู้ต้องหาคดีอื่น ๆ เพื่อป้องกันการหลบหนี

นางสาว จริยาภรณ์ มีสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่ได้มีเจตนาหลบหนี แต่ติดต่อเข้ามามอบตัวเอง และ ข่าวที่ออกไปมีเจ้าบ่าวถูกหลอก 30 - 40 ก็ไม่เป็นความจริง เป็นแค่การพูดคุยไม่ได้แต่งงาน  และพ่อแม่ตนเอง ก็ไม่เกี่ยวข้องไม่มีส่วนรู้เห็น ทุกคนที่แต่งงานก็เลิกกับคนเก่าก่อนตลอด ที่ผ่านมาก็อยู่กันด้วยความรัก

 

ศาลไม่ให้ประกัน "น้ำมันต์" ต้มตุ๋นหลอกชายแต่งงาน

ขณะที่ ตำรวจ บอกว่า ได้คัดค้านการประกันตัว เพราะต้องสอบปากคำผู้ต้องหาอีกหลายประเด็น  และ ยังไม่มีผู้เสียหายมาแจ้งความดำเนินคดี กับ นางสาวจริยาภรณ์ เพิ่มเติม  ต่อมาศาลจังหวัดธัญบุรี ไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะคดีดังกล่าวเป็นที่ประชาชนสนใจ และมีผู้เสียหายจำนวนมาก

มีรายงานข่าวแจ้งว่า คดีนี้ ตำรวจกองปราบได้รับคำร้องทุกข์จากผู้เสียหายเพียงแค่ 4 ราย ใน 4 พื้นที่ สภ.สำโรงเหนือ  สภ.สำโรงใต้  สภ.สมุทรปราการ และ สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ โดยทั้ง 4 ราย ได้แจ้งความกับตำรวจท้องที่แล้ว

ขณะนี้ตำรวจได้เร่งติดตามตัว พ่อแม่ของ นางสาวจริยาภรณ์ มาสอบสวน คาดว่าจะได้ตัวเร็วๆ นี้

 

คุมตัว "กิตติศักดิ์" แฟนใหม่ "น้ำมนต์" ฝากขังคดีฉ้อโกง ปี 2559

ส่วนที่ศาลจังหวัดจันทบุรี  ตำรวจได้คุมตัว นายกิตติศักดิ์ ตันติวัฒน์กุล อายุ 33 ปี แฟนคนล่าสุด ของ นางสาวจริยาภรณ์ (แฟนคนที่ 14) มาฝากขังต่อศาล ตามหมายศาลศาล จังหวัดจันทบุรี ลงวันที่ 19 มนาคม พ.ศ. 2559 ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง

โดย นายกิตติศักดิ์ ได้สวมเสื้อกีฬาสีฟ้าขาว กางเกงสีม่วง มีเสื้อสีส้มคลุมศีรษะ พร้อม กระเป๋าสัมภาระอีก 2 ใบ

ก่อนหน้านี้ นายกิตติศักดิ์ ให้การว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการหลอกลวงที่เกิดขึ้นทั้งหมด และ คดีที่ถูกจับกุมนั้น นางสาวจริยาภรณ์ ได้นำบัตรประชาชนของตนเอง ไปวางประกัน เพื่อไปซื้อทุเรียนที่ จังหวัดจันทบุรี แล้วไม่จ่ายเงิน จนถูกแจ้งความไว้

 

กองปราบฯ รอสอบผู้เสียหายทั้งหมด เล็งเอาผิดข้อหาฟอกเงิน

ด้าน พันตำรวจเอกสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บังคับการปราบปราม บอกถึงความคืบหน้าคดีนี้ว่า พนักงานสอบสวนกองปราบปราม สอบปากคำผู้เสียหายไปแล้ว 4 คน  ทุกคนแจ้งความร้องทุกข์กับท้องที่ไว้แล้ว  ขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้ ทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ พาผู้เสียหายที่เหลืออีก 9 คนมาสอบปากคำให้ครบ เพื่อตรวจสอบว่า มีผู้เสียหายคนใดบ้าง ที่ยังไม่ได้แจ้งความ  เพราะทราบว่า บางคน เกรงภรรยาคนปัจจุบันรู้เรื่องที่เกิดขึ้น

พันตำรวจเอกสุวัฒน์ บอกต่อว่า เบื้องต้น ยังคงแจ้ง ข้อหาฉ้อโกง โดยแสดงเป็นบุคคลอื่นแก่ นางสาวจริยาภรณ์ แต่หากมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์จำนวนมาก  พนักงานสอบสวนจะดูเรื่องอื่นประกอบด้วย อาทิ กฎหมายฟอกเงิน  หากเข้าข่าย จะส่งเรื่องให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินว่า มีใครเกี่ยวข้อง และมีการปกปิดการถ่ายโอนเงินหรือไม่

 

อัยการ แนะผู้เสียหาย แจ้งความใน 3 เดือน เพื่อเรียกเงินคืน

ขณะเดียวกัน นายธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึง กรณีผู้เสียหาย ฟ้องเรียกค่าสินสอดคืน ว่า เรื่องลักษณะนี้ ยังไม่เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยมาก่อน เพราะปกติแล้ว ไม่มีหญิงคนไหน จะแต่งงานกับชายหลาย ๆ คนในเวลาไล่เลี่ยกัน  การกระทำของผู้ต้องหาจึงเข้าข่ายกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341

ที่ผ่านมา ก็มีแต่คำชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุด ที่เคยวินิจฉัยเรื่องที่มีข้อเท็จจริงใกล้เคียงกันกับเรื่องนี้ เป็นคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่ สน.พระโขนง เมื่อปี 2549  เป็นชาย หลอกหญิงแต่งงาน และฉ้อโกงของหมั้น ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำชี้ขาดสั่งฟ้องฝ่ายชาย ในความผิดฐานฉ้อโกงไป แต่คดีดังกล่าว ขาดอายุความเพราะผู้ต้องหาหลบหนี

และกรณี นางสาวจริยาภรณ์นั้น  ฝ่ายชายที่ถูกหลอกลวง มีข้อควรต้องระวัง ว่า การกระทำความผิดฐานฉ้อโกง เป็นความผิดอันยอมความได้ ไม่ใช่ความผิดอาญาแผ่นดิน ผู้เสียหายต้องแจ้งความร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิด และ รู้ตัว ผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 มิฉะนั้น คดีเป็นอันขาดอายุความ  หากผู้เสียหายไม่แจ้งความ ผู้เสียหายต้องฟ้องคดีต่อศาลภายในกำหนดเวลา 3 เดือนตามที่กล่าวมาเช่นกัน มิฉะนั้น ก็ถือว่าคดีขาดอายุความ

ศาลไม่ให้ประกัน "น้ำมันต์" ต้มตุ๋นหลอกชายแต่งงาน