นายกรัฐมนตรี ใช้เงินส่วนตัว เปลี่ยนอ่างบัว 20 ใบ จากสีเทาดำเป็นสีฟ้าเขียวสดใส ให้เข้ากับสนามหญ้าในทำเนียบรัฐบาล เพื่อเสริมสิริมงคล

เช้าวานนี้ (8 พ.ค.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 5/2560 ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกำชับถึงการทำงานว่า ให้เสร็จภายในระยะเวลาของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่จะดำเนินการ พร้อมขอขอบคุณภาคเอกชน ที่ให้การสนับสนุนทำงานร่วมกับรัฐบาล และขอให้ช่วยกันชี้แจงการทำงานของรัฐบาลด้วยว่า เป็นการทำงานคู่ขนาน ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน

ขณะที่บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาล ได้มีการเปลี่ยนอ่างบัวใหม่ เป็นสีฟ้า 20 ใบ โดยนางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเปลี่ยนสีอ่างบัว จากเดิมเป็นสีเทาดำ มาเป็นสีฟ้าเขียวนั้น เป็นแนวคิดของพลเอกวิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ปรับเปลี่ยนสีของอ่างบัว เพื่อให้สอดรับกับสีของสนามหญ้า บริเวณตึกไทยคู่ฟ้า ในทำเนียบรัฐบาล จะได้เกิดความกลมกลืน

และที่เลือกใช้เป็นอ่างเซรามิกนั้น เพื่อไม่ให้น้ำรั่วซึมออกมา จึงได้ประสานไปกับทางสวนนงนุช โดยสั่งอ่างบัวจากจังหวัดราชบุรี มาปรับเปลี่ยนให้ทันที

อย่างไรก็ตาม เช้าวันเดียวกัน เมื่อพลเอกประยุทธ์ เดินทางมาถึงที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอกวิลาศได้รายงาน และชี้ให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนอ่างบัวใหม่ ทำให้พลเอกประยุทธ์พอใจ พร้อมกล่าวว่า "สวยดี แฮปปี้ และพอใจ"

ทั้งนี้ ในส่วนของค่าใช้จ่ายพลเอกประยุทธ์ ได้ใช้เงินส่วนตัว ในการจัดซื้อเองทั้งหมด ซึ่งทางสวนนงนุชได้ลดราคาให้ รวมทั้งการดูแลรักษาด้วย

อย่างไรก็ตาม "บัว" ถือเป็นพืชมงคลที่นิยมปลูกกันในบ้าน ตามความเชื่อว่า จะนำมาซึ่งสิ่งดีๆ และได้รับการขนานนาม ให้เป็นราชินีแห่งไม้น้ำ เป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี เป็นไม้มงคล และที่สำคัญการปลูกบัวทางทิศตะวันตก จะเจริญงอกงามมากกว่าการปลูกบัวทางทิศอื่นๆ

สำหรับพลเอกประยุทธ์ เป็นคนที่เกิดวันเสาร์ จึงเน้นปลูกบัวสีม่วง และสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีประจำวันเกิด โดยก่อนหน้านี้ พลเอกประยุทธ์ เคยระบุว่า เป็นคนที่ชอบบัว โดยเฉพาะบัวหลวงอย่างมาก

ขณะที่ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณ ในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็ง และยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1/2560

ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นการประชุมระดับนโยบาย ในเรื่องการเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ที่จัดเพิ่มเติมขึ้นมา ซึ่งเป็นกลุ่มงานยุทธศาสตร์ งานสร้างความเข้มแข็งที่ผ่านมา ไม่เคยมี แต่รัฐบาลนี้ มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้โดยเร็ว

และเป็นการจัดทำงบครั้งแรก ที่รับฟังความเห็นของประชาชน กำหนดความต้องการมาจากประชาชน พร้อมกำหนดกรอบความเร่งด่วน 3 ระยะคือ ระยะสั้นคือภายใน 1 ปี ที่จะต้องเกิดผลสัมฤทธิ์ ระยะกลางคือ 2 ปี และระยะยาว 3 ปีขึ้นไป พร้อมกำชับอย่าให้มีการทุจริตเกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า สำหรับกรอบงบประมาณทั้งหมดที่ตั้งเอาไว้เดิม 1.9 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อมีการเสนอมาเกิน ก็ต้องตัดทอนออก สิ่งไหนที่ทำไม่ได้ตามระยะเวลา ก็แก้เป็นอย่างอื่นไป เพื่อให้นำไปทำประโยชน์เร็วขึ้น ส่วนงบค้างท่อที่ไม่ได้ใช้งาน ก็นำกลับมาสู่การใช้จ่าย แก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวแสดงความยินดีกับนายเอ็มมานูเอล มาครง หลังได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศสคนใหม่ พร้อมระบุว่า ไม่ว่าใครจะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส ประเทศไทยก็เป็นมิตรกับฝรั่งเศสเสมอ

และเราต้องวางตัวเองให้ถูกว่า เราควรจะคบค้าสมาคมกับเพื่อนบ้านอย่างไร ให้อยู่ในจุดที่พอดี และเหมาะสม และผลประโยชน์ที่เป็นธรรม เพราะเราก็เป็นหนึ่งประเทศมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อความสารแสดงความยินดี ในโอกาสที่นายเอ็มมานูเอล มาครง ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส ความว่า

ในนามของรัฐบาลและประชาชนไทย ข้าพเจ้าขอส่งความยินดีมายังท่าน ที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส ชัยชนะที่มากมาย และแสดงให้เห็นถึงพลวัตรที่ก้าวหน้าของท่าน สะท้อนให้เห็นว่า ชาวฝรั่งเศสได้มอบความไว้วางใจให้ท่าน ทำหน้าที่นำพาประเทศไปข้างหน้า ข้าพเจ้าขอแสดงความปรารถนาดีต่อความสำเร็จดังกล่าว

และเชื่อว่ าความสัมพันธ์ไทยและฝรั่งเศส จะเข้มแข็งขึ้น ภายใต้การนำของท่าน และรอคอยที่จะได้ทำงานร่วมกัน เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันแข็งแกร่งขึ้น และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ และประชาชนของเราทั้งสอง