ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุ มาตรการนั่งแคปและนั่งโดยสารกระบะท้าย ตำรวจจะใช้วิธีตักเตือนตามความเหมาะสม โดยจะยึดบังคับใช้กฎหมายจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ไปก่อน เพื่อรอศึกษาและปรับปรุงให้ได้ข้อสรุปในอนาคต

พลตำรวจโทวิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วยผบ.ตร.) กล่าวถึงการหารือร่วมกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงมาตรการการบังคับใช้กฎหมายจราจร ซึ่งก่อนหน้านี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายกรณีการนั่งแคปและนั่งโดยสารกระบะท้ายไปยังกรมการขนส่งทางบกแล้ว แต่พบว่ายังมีข้อขัดข้องที่ไม่สามารถแก้ไขกฎหมายตามที่เสนอได้ ที่ประชุมจึงสรุปเบื้องต้น ว่า จะยึดการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพุทธศักราช 2522 ไปก่อน ระหว่างที่ไม่สามารถออกกฎหมายพระราชบัญญัติรถยนต์เพื่อบังคับใช้เป็นการเฉพาะได้ และจากนี้จะศึกษาต่อเพื่อแก้ไขปรับปรุงให้ได้ข้อสรุปในอนาคต

จากนี้ไปกรณีการนั่งแคปกระบะ ตำรวจจะใช้มาตรการตักเตือนตามความเหมาะสม โดยต้องพิจารณาว่าอยู่ในวิสัยที่ปลอดภัย ขณะที่การนั่งกระบะท้ายนั้นก็ไม่ได้กำหนดจำนวนคนโดยสารที่กระบะท้าย แต่น้อยคนก็ยิ่งปลอดภัย โดยจะใช้การตักเตือนเช่นกัน

 แต่จะมีการนำกฎหมายพระราชบัญญัติจราจรทางบกมาใช้บังคับ โดยควบคุมความเร็ว ตามกฎหมายระบุว่ารถยนต์โดยสารบรรทุกต้องใช้ความเร็วในเขตเทศบาลไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่นอกเขตเทศบาลต้องไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากใช้ความเร็วเกินกว่านั้นถือว่าผิดกฎหมาย ทั้งนี้หากเกิดอุบัติเหตตุ กรณีมีคนนั่งรถกระบะท้าย ผู้ขับขี่ก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ฐานใช้รถผิดประเภท เนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาตให้นั่งคนกระบะท้ายอยู่แล้ว