จากรณีการเสียชีวิตของ นายพิชิต หรือ เสี่ยต้น เจ้าของธุรกิจสอนนวดแผนไทย หลังถูกพบเป็นศพเสียชีวิตหน้าบ้านภรรยาที่ จ.มหาสารคาม และต่อมาพบว่าก่อนเผา ศพได้กลายเป็นสีดำ ญาติ ๆ เชื่อว่าน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเพราะก่อนจะเสียชีวิต เสี่ยต้นได้ถูกลอบยิงและยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ นั้น

 

ความคืบหน้าวันนี้ (27 พ.ค.67) ทีมข่าวได้เดินทางไปพูดคุยกับนางกล่ำ (นามสมมติ) ทันทีที่ไปถึงบ้านนางกล่ำก็ได้บอกว่าเมื่อวานถูกตำรวจสอบปากคำนานกว่า 11 ชั่วโมง ( 09.00-20.00 น.) ซึ่งการสอบปากคำก็เป็นคำถามเดิม ๆ ที่เคยตอบไปหลายครั้งแล้ว จะเปลี่ยนก็แต่พนักงานสอบสวนที่จะเป็นคนใหม่ ๆ หมุนเวียนเข้ามาซึ่งตนก็ตอบไปเหมือนที่เคยตอบและไม่ได้มีความกังวลใจอะไร จากนั้นทีมข่าวก็ได้ถามถึงลูกเขยของนางกล่ำ นางกล่ำก็เผยว่าตัวเองมีลูกเขย 2 คน คือ นายต้น , นายเต้ พร้อมกับบอกว่าลูกเขยทั้งสองคนก็เคยเจอหน้ากันแล้วและเคยพากันมาเที่ยวเล่นที่บ้านของตนในช่วงเทศกาลปีที่แล้ว แต่จำไม่ได้ว่าเป็นเทศกาลอะไร โดยทั้งคู่ก็พูดคุยกันปกติดีไม่ได้มีปัญหาหรือมีความขัดแย้งอะไรกัน ถ้าหากถามถึงนิสัยใจคอของลูกเขยอย่างนายต้นก็นิสัยดีตามที่เคยบอก ส่วนนายเต้นั้นก็ตอบไม่ได้ว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไรเพราะนายเต้เพิ่งจะคบหากับนางสาวส้มได้เพียง 2 ปี อีกทั้งนายเต้ก็ไม่ค่อยได้มาอยู่ที่มหาสารคาม ตนจึงไม่ค่อยสนิทสนมเท่าไหร่ ทราบเพียงแค่ว่านายเต้ทำธุรกิจฟาร์มหมูอยู่ที่จังกวัดปราจีนบุรี แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นพื้นที่ไหน ทีมข่าวก็ได้ถามย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่นายต้นถูกลอบยิง นางกล่ำก็ยอมรับว่าลูกสาวเคยเล่าให้ฟังอยู่บ้าง แต่ตนก็ไม่รู้รายละเอียดจึงไม่อยากตัดสินหรือสงสัยใคร ตอนนี้ก็ได้แต่ให้ความร่วมมือในการสอบปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากตำรวจโทรมาตามเมื่อไหร่ตนก็จะออกไปทันที ส่วนลูกสาวทั้งสองคนก็ติดต่อมาเป็นระยะเพื่อถามไถ่ชีวิตประจำวันเท่านั้น

 

ล่าสุดมีรายงานทางการสืบสวน ระบุว่า คนใกล้ชิดของเสี่ยต้น มีการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับ “ สารไซยาไนด์ ” โดยจากการตรวจสอบโทรศัพท์ของเสี่ยต้น พบว่า ช่วงวันที่ 18 เมษายน หลังจากที่เสียชีวิต 2 วัน และยังอยู่ระหว่างการจัดงานศพ ได้มีคนนำโทรศัพท์มือถือของเสี่ยต้น ไปค้นหาข้อมูลเรื่อง “ไซยาไนด์” ตำรวจจึงเตรียมเรียกสอบปากคำคนใกล้ชิดในประเด็นนี้ ว่าหลังจากเสี่ยต้นเสียชีวิตโทรศัพท์อยู่กับใคร และใครเป็นคนนำโทรศัพท์ไปค้นหาข้อมูลดังกล่าว เพื่อหามูลเหตุจูงใจและเพื่อดูว่ามีความเชื่อมโยงทางคดีหรือไม่

 

ทีมข่าวโทรศัพท์ไปสอบถาม คุณมด ภรรยาเสี่ยต้น ถึงประเด็นเรื่องการค้นหาข้อมูลของสารไซยาไนด์ ในโทรศัพท์ของ เสี่ยต้น ที่มีรายงานข่าวออกมาหลังตรวจสอบโทรศัพท์ของเสี่ยต้น แล้วพบว่ามีการค้นหาข้อมูลในวันที่ 18 เม.ย.นั้น คุณมด ระบุว่า ส่วนตัวไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องไซยาไนด์ และยังไม่ทราบข้อมูลนี้ รวมถึงตำรวจก็ยังไม่มีการถามเรื่องนี้กับตัวเองและยังไม่มีการเรียกไปสอบปากคำเพิ่มเติม

 

ทั้งนี้คุณมดบอกว่า หลังจากเสี่ยต้นเสียชีวิตโทรศัพท์ของเสี่ยต้นหาไม่เจอ แต่มาหาเจอหลังจากที่เผาศพไปแล้ว คือหลังวันที่ 19 เม.ย. และเชื่อว่าหากตำรวจมีข้อสงสัยเพิ่มเติมในประเด็นไหนก็จะติดต่อมาหาตัวเองและมองว่าน่าจะเป็นแค่กระแสข่าวพร้อมย้ำว่า ตอนนี้ยังไม่มีตำรวจเรียกมาให้ปากคำเพิ่มเติมถึงประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด

 

โดยในการตอบคำถามวันนี้ ภรรยาของเสี่ยต้น ได้ตอบคำถามเพียงสั้นๆ เท่านั้น ก่อนจะขอวางสายโดยให้เหตุผลว่าขอดูแลลูกก่อน

 

ส่วนความคืบหน้าทางคดี หลังมีรายงานว่า ตำรวจจะเรียก ลูกสาวของเสี่ยต้นมาสอบปากคำ ประเด็นเรื่องการค้นหาข้อมูลไซยาไนด์นั้น ล่าสุด ยังไม่ได้เรียกมาสอบ อยู่ระหว่างการประสานสหวิชาชีพ เพื่อเข้ามาร่วมสอบปากคำด้วย เนื่องจากยังเป็นเยาวชน และวันนี้ทางก็ยังไม่ได้เรียกพยานฝ่ายไหนมาสอบเพิ่มเติม

 

ขณะที่ต่อมาพันตำรวจเอกเจษฎา ยางนอก ผู้กำกับ สน.วังทองหลาง พร้อมฝ่ายสืบสวนและฝ่ายสอบสวนได้นำกำลังลงพื้นที่ไปตรวจสอบสมาคมส่งเสริมธุรกิจสปาและความงาม รวมทั้งโรงเรียนสอนตัดผม ภายในซอยรามคำแหง ซึ่งทั้ง 2 แห่ง เป็นธุรกิจของเสี่ยต้น และคุณมด ภรรยา เพื่อตรวจหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม รวมทั้งตรวจดูความเคลื่อนไหวของพนักงานที่ร้าน

 

จุดแรก ที่เข้าไปตรวจสอบ สมาคมส่งเสริมธุรกิจสปาและความงาม ซึ่งวันนี้ยังคงพนักงานมาทำงานกันตามปกติ ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 20นาที ก่อนจะไปตรวจสอบจุดที่ 2 คือ โรงเรียนสอนตัดผม โดยธุรกิจทั้ง 2 แห่งของ 2 สามีภรรยา อยู่ห่างกันประมาณ 40 - 50 เมตรเท่านั้น โดยสังเกตเห็นว่า ระหว่างการตรวจสอบธุรกิจทั้ง 2 แห่งของเสี่ยต้นกับภรรยา นั้น จะมีตัวเแทนของคุณมด คอยอธิบายลักษณะของการทำธุรกิจและรายละเอียดต่างๆ ให้ผู้กำกับสน.วังทองหลาง ฟัง

 

ซึ่งจุดที่ 2 ตำรวจใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 10 นาที ก่อนกลับออกไป

ด้านพลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ตำรวจได้มีการเรียกสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องในฐานะพยานไปแล้วจำนวน 15 ปาก แบ่งเป็นผู้ใกล้ชิด 8 ปาก และ พยานที่เกี่ยวข้อง 7 ปาก จากการสอบปากคำพยานทั้งหมดให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี สำหรับคดีพยายามฆ่า ในพื้นที่ สน.วังทองหลาง ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าผู้ก่อเหตุมี 2 คน ส่วนคนชี้เป้าและผู้จ้างวาน อยู่ระหว่างการขยายผลว่าบุคคลใดมีการติดต่อ แจ้ง หรือไปพบเจอผู้ก่อเหตุในเวลาทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุหรือไม่ เพื่อรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับต่อไป

 

สำหรับการติดตามตัวผู้ก่อเหตุ ทั้ง 2 คน ตอนนี้ตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบเส้นทางหลบหนี เพื่อหาเบาะแส นำตัวมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด

 

ทีมข่าวยังได้ข้อมูลจาก ของฝั่งของครอบครัวเสี่ยต้น เป็นภาพหลักฐานที่ แม่ของเสี่ยต้นถ่ายเอาไว้ในวันที่ 8 เม.ย. ก่อนที่เสี่ยต้นจะถูกลอบยิง ในคืนนั้น

 

โดยภาพนี้ เป็นช่วงเวลาประมาณ 1-2 ทุ่ม ที่เสี่ยต้น นัดเจอกับคุณมด ภรรยา เพื่อมาพูดคุยปรับความเข้าใจกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยคนที่ไปรับประทานอาหารด้วย มีอย่างน้อย 4 คน คือ 1. เสี่ยต้น 2. คุณมด ภรรยาของเสี่ยต้น 3. ลูกสาวของคนโตของเสี่ยต้นและคุณมด และ 4. แม่ของเสี่ยต้น

 

หลังจากที่พูดคุยกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งหมดก็แยกย้ายกัน โดยแม่ของเสี่ยต้น บอกว่า คุณมด ภรรยาโทรมานัดให้เสี่ยต้น ไปเจอที่ร้านเหล้า แล้วก็มาถูกลอบยิง ในวันเดียวกัน

 

จากนั้น ทีมข่าว ลงพื้นที่ไปยังร้านอาหาร ย่านถนนกรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นร้านที่เสี่ยต้น มาทานอาหาร แล้วไปสอบถามกับ เจ้าของร้าน เขาเล่าให้ฟังถึงวันที่เสี่ยต้นมาทานอาหาร เพราะเขาจำได้เรื่องจาก เสี่ยต้นมาทานบ่อย แต่ไม่ถึงกับเป็นลูกค้าประจำที่มาทุกวัน และในวันที่ 8 เม.ย.ถ้าตนเองจำไม่ผิด เสี่ยต้นมารถตู้อัลพาร์ดทะเบียนประมูล และมีรถเบนซ์ขับตามมา ซึ่งเป็นแฟนของเสี่ยต้น พอขับไปจอด ก็มานั่งโต๊ะที่ 17 ซึ่งอยู่โซนหน้าร้าน ในวันนั้น เสี่ยต้นมากับแม่ ลูก และแฟน ซึ่ง แฟนเขาเปรี้ยวมาก และตนเองมองว่า ต่อให้เสี่ยต้นขับอัลพาร์ด มาก็ไม่ได้ทำตัวเลิศหรู และเสี่ยต้นมากินประจำ และเคยคิดว่าทำไมถึงเข้าร้านมุสลิม ทั้งที่ไม่มีแอลกอฮอล์ แต่อาจจะเพราะชอบรสชาติอาหารหรือไม่

 

ทั้งนี้ช่วงเวลาที่เสี่ยต้นมาถึงคนยังไม่เยอะมาก เสี่ยต้นก็สั่งกุ้งเผา ปลาเผา ลาบเป็ด และพอช่วงหลังทุ่มครึ่งคนก็เยอะ และที่ร้านเรื่องเก็บเงินค่อนข้างช้า วันนั้นช่วงเช็กบิล เสี่ยต้นเรียกเช็กบิลแล้วรอบหนึ่ง แต่ยังไม่มีเด็กไปเก็บเงิน แล้วตอนนั้นตนเอง นั่งอยู่ตรงเคาท์เตอร์ แฟนเสี่ยต้นก็เลยเดินมาบอกว่า เก็บเงินด้วย ตนเองเลยสั่งให้ลูกไปเก็บเงิน แล้วพอเก็บเงินแล้วก็ปกติ

 

โดยบรรยากาศตอนกินข้าวคุณนุ้ย บอกว่า เป็นปกติไม่มีปัญหาทะเลาะหรือเคร่งเครียดอะไรให้เห็น และที่เขาเลือกนั่งตรงนั้นก็เป็นจุดเด่นคนเยอะ พนักงานชงกาแฟก็มองตลอด และเสี่ยต้นก็ดูปกติกับครอบครัว ไม่มีทรงซีเรียสหรือออกอาการไม่พอใจตามที่เป็นข่าวเลย เพราะทกุอย่างดูแฮปปี้ ส่วนหลังคิดเงินเสร็จแล้ว ก็ยังเห็นนั่งต่ออีกแป๊บหนึ่ง แล้วก็ออกไป แต่ตนเองจำช่วงเวลาออกจากร้านจำไม่ได้ และจำไม่ได้ว่าแยกกันกลับไปยังไง แต่เขาดูปกติทุกอย่าง เหมือนคนมาทานข้าวทั่วไป ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย

 

ส่วนหลังทานข้าวเสร็จจะไปกินต่อที่อื่นหรือไม่ คุณนุ้ย บอกว่า ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะจากร้านของเธอวิ่งตรงไปร้านโรงเหล้าแสงจันทร์ ง่ายแค่ไปออกรามคำแหง 39 แต่ชุดที่เสี่ยต้นใส่มา ไม่น่าไปได้ เพราะเสี่ยต้นใส่กางเกงขาสั้น เสื้อกล้ามเหมือนเสื้อกล้ามฟิตเนส

 

และปกติ เวลาเสี่ยต้นมาที่ร้าน ก็จะมาทานคนเดียว ไม่เคยมีใครมาด้วย แล้วพึ่งเห็นว่ามากับแฟน ในวันที่ 8 เม.ย. เท่าที่สัมผัส เสี่ยต้น เป็นคนอารมณ์ดี ดูเป็นคนอบอุ่น เป็นคนดูมีมารยาท ไม่ได้มีอีโก้สูง ทุกครั้งที่มากินที่ร้าน ก็ไม่ได้มีลักษณะของการโมโหร้ายเหวี่ยงวีน

แกะรอยมือมืดค้นหา "ไซยาไนด์" หลัง "เสี่ยต้น" ตายศพดำ