กรณีญาติคาใจ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของ “เสี่ยต้น” นักธุรกิจ ซึ่งเดินทางไปที่บ้านต่างจังหวัดในจังหวัดมหาสารคาม ก่อนที่จะเสียชีวิตปริศนาอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน จากนั้นพบว่าศพได้มีการเผาไปแล้ว แต่ญาติยังคงนำกระดูกและรูปตั้งหน้าศพมาร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากยังคงสงสัยเกี่ยวกับการตาย ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

 

วันนี้ (23 พ.ค.) ทีมข่าวช่องแปด ตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม ใกล้กับทางขึ้นทางด่วนพิเศษ ถนนเลียบด่วน ตามที่ก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้มีภาพปรากฏเห็นว่ากลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ของมือปืนขับประกบ รถของเสี่ยต้น เพื่อมีการยิง ก่อนที่รถของเสี่ยต้นจะไหวตัวเลี้ยวขึ้นทางด่วน

 

โดยวันนี้ทีมข่าวได้รับภาพจากกล้องวงจรปิดอีกชุด โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิด 23:09น. (เวลาเร็วกว่า 25 น. ** ซึ่งเวลาจริงคือเวลา 22:33 น. ) โดยพิพาทจากกล้องวงจรปิดจับภาพวินาทีที่เห็นรถมอเตอร์ไซค์ของกลุ่มมือปืนขับประกบฝั่งขวาของรถเสี่ยต้น หลังจากที่ถูกประกบและขับพ้นมุมกล้องไปแล้ว ปรากฏว่าจะได้ยินเสียงปืนดังชัดเจน 5 นัด ลักษณะยิงรัว

 

ต่อมาเป็นกล้องวงจรปิดบันทึกภาพผู้ต้องสงสัยสองคนที่ก่อเหตุยิงเสี่ยต้น จับภาพได้ในวันที่ 8 เมษายน 2567 เวลา 23:23 น กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งย่านนวมินทร์ หลังเติมน้ำมันเตรียมที่จะไปก่อเหตุ

 

พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ประชุมร่วมกับ ชุดสืบสวนของกองบัญชาตำรวจนครบาล ชุดสืบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 4 และ ชุดสืบสวน สน.วังทองหลาง ประชุมความคืบหน้าทางคดีลอบยิง เสี่ยต้น

 

โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุว่า จากการประชุมล่าสุดคดีมีความคืบหน้าไปพอสมควร และจากการประสานงานกับตำรวจภูธรภาค 4 ในกรณีดังกล่าวที่เกี่ยวเนื่องกัน ก็ได้ประสานงานกับนิติเวช เรื่องการพิสูจน์ศพของเสี่ยต้น เพื่อทำงานร่วมกันใน 2 พื้นที่

 

ทั้งนี้พื้นที่ สน.วังทองหลาง ข้อเท็จจริงของคนร้ายคดีพยายามฆ่า ตำรวจมีภาพวงจรปิดชัดเจนพอสมควรในการเป็นต้นทางเพื่อไล่ล่าติดตามตัวคนร้าย จากตำหนิ รูปพรรณเป็นสิ่งที่รวบรวมพยานหยักฐานทั้งหมด และขณะนี้ได้มอบกองบังคับการตำรวจนครบาล4 ตั้งคณะทำงานชุดสืบสวนสอบสวนแล้ว

 

และการทำงานของ สน.วังทองหลางได้สอบปากคำ ผู้เกี่ยวข้อง ผู้ใกล้ชิดของผู้ตาย ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว และ กองบัญชาการตำรวจนครบาลจะใช้ทั้งพยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานบุคคล พยานแวดล้อมมาประกอบกัน รวมถึงนำพยานหลักฐานความเกี่ยวเนื่องที่ สภ.ยางสีสุราชมาประกอบกันด้วย

 

ทั้งนี้ ถ้าผู้ใดพบเห็นและรู้จักบุคคลตามภาพกล้องวงจรปิด หรือมีเบาะแส มีข้อมูล ตำรวจก็พร้อมรับข้อมูลทั้งหมด และในแนวทางการสืบสวนมีความคืบหน้าไปมากพอสมควร จึงขอทำงานก่อน และผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้เร่งรัดในการตืดตามคดี โดยขอยืนยันว่า คดีนี้ตั้งแต่วันเกิดเหตุ สน.วังทองหลางไม่ได้ทอดทิ้ง และมีการติดตามความคืบหน้ามาโดยตลอด แต่คนร้ายมีการปกปิด และปิดบังอำพรางที่ใส่หมวกกันน็อก แต่มีบางจังหวะที่เปิดหน้าบ้าง ทำให้ตำรวจรู้เบาะแส ทั้งนี้ ขอรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมากที่สุด

 

ส่วนการสอบปากคำ ทุกปาก ถือว่ามีความเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะให้การในฐานะใด ก็ให้การเป็นประโยชน์กับตัวเขาเองอยู่แล้ว แต่ตำรวจก็ต้องพิสูจน์และตรวจสอบคำให้การทุกถ้อยคำทุกสถานที่ ทุกบุคคลที่กล่าวอ้างถึงและยืนยันว่า ทุกประเด็นในการสืบสวน ยังไม่ได้มีการตัดประเด็นใดแม่แต่ประเด็นเดียว สำหรับมูลเหตุจูงใยโดยเฉพาะคดีพยายามฆ่า ของ สน.วังทองหลาง ที่มีมือปืน2ราย ขี่รถจักรยานยนต์มาประกบยิง ดังนั้นก็ต้องมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และเป็นความขัดแย้งกันมาก่อน ระหว่างผู้ตายกับกลุ่มผู้ประกบยิง

 

ซึ่งความขัดแย้งในครั้งนี้ เนื่องจากผู้ตายเป็นนักธุรกิจ จึงมีทั้ง ประเด็นความขัดแย้งทางธุรกิจ และผู้ตาย มีข้อมูลว่าอารมณ์รุนแรง ก็ต้องดูว่าไปมีการทะเลาะเลาะแว้งกับใครหรือไม่ และเรื่องส่วนตัว ก็สอบทั้งหมด ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้งและจะสืบสวนทุกประเด็น โดยชุดสืบสวนจะใช้พยานหลักฐานเป็นตัวนำในการออกหมายจับผู้ต้องหา

 

ส่วนนอกเหนือจากมือปืน 2 คน พบข้อมูลหรือเบาะแสของผู้บงการแล้วหรือไม่ พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานถึงตัวบงการทั้งหมด

 

ส่วนประเด็นที่น้องสาวของผู้เสียชีวิต แจ้งว่ามีกลุ่มคนคอยติดตามที่คอนโด และโทรข่มขู่นั้น แม้ว่าพยานปากใดหรือผู้เกี่ยวข้อง มีการถูกข่มขู่หรือคุกคาม ก็ขอให้ติดต่อมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งตำรวจพร้อมจะส่งคนไปดูแลและคุ้มครองหากประชาชนเดือดร้อน

นางสาวณัฐปภัษร์ หรือ “เจ” น้องสาวของนายพิชิต หรือ “เสี่ยต้น” เจ้าของธุรกิจสอนนวดแผนไทย เดินทางมาที่ สน.วังทองหลาง เพื่อติดต่อขอรับโทรศัพท์มือถือของแม่คืนจากตำรวจ หลังจากตำรวจได้นำมาดูดข้อมูลการใช้โทรศัพท์เพื่อไปตรวจสอบหาความเชื่อมโยงทางคดีหลังพบเบาะแสของคนร้าย

 

โดย นางสาวณัฐปภัษร์ บอกว่า วันนี้ ตนเองมารับมือถือของแม่ หลังตำรวจได้ขอไปดูดข้อมูล เพราะมีข้อมูลการโทรเข้าโทรออกของแม่หลังเกิดเหตุ โดยพบว่าพี่ชายคือ เสี่ยต้น ได้พูดคุยกับแม่ และแม่ก็ไปหาพาไปกินข้าว พาไปรดน้ำมนต์ ส่วนกรณีที่ เสี่ยต้นถูกยิง แล้วโทรไปศัพท์ไปหานายเต้ น้องชาย และเสี่ยต้นบอกกับนายเต้ในประเด็นที่บอกใครไม่ได้นั้น นางสาวณัฐปภัษร์ ตอบว่า ตนเองก็ทราบและได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้ว ซึ่งพี่ต้นกับเต้ได้คุยกันทั้งก่อนหน้าถูกยิง และหลังจากถูกยิง และยืนยันว่าการเดินทางไปที่ร้านอาหาร มีการชักชวนกันเกิดขึ้นจริง ส่วนใครชวนใครขอให้ตำรวจเป็นคนสรุป เพราะขณะนี้ก็เริ่มมีหน้าผู้ต้องสงสัยมาแล้ว ซึ่งหากมีการออกหมายจับก็จะเห็นกันเอง

 

ทั้งนี้ นางสาวณัฐปภัษร์ ยอมรับว่า ส่วนตัวได้เห็นภาพของผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจให้ดูแล้ว ซึ่งพบว่ามีบุคคลที่หน้าชัด 1 คน ส่วนจะเป็นคนใกล้ตัวหรือไม่ และเป็นคนที่ตนเองหรือพี่ชายรู้จักหรือไม่ ขอให้ตำรวจเป็นคนสรุป

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ต้องสงสัยคนนี้ เป็นคนที่เสี่ยต้นเคยเล่าให้นายเต้ น้องชายฟังหรือไม่ และเป็นคนที่เสี่ยต้นรู้จักหรือไม่นั้น ก็ขอให้ตำรวจเป็นคนดำเนินการ แต่มีแนวโน้มที่ดีและคดีคืบหน้าไปมาก เพราะคำให้การที่ตนเองและญาติๆ ได้ให้กับตำรวจไป สอดคล้องกับภาพผู้ต้องสงสัย ทำให้ตำรวจจึงมุ่งไปทางนี้ เมื่อถามว่า เคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่าผู้ต้องสงสัยคนนี้จะเป็นคนก่อเหตุ น้องสาวเสี่ยต้น ตอบว่า มีใกล้เคียง เพราะเรามีการพูดคุยกันหลายคนในกลุ่มญาติ ว่าน่าจะเป็นคนนี้ลักษณะ จึงได้ส่งข้อมูลให้กับตำรวจ และตำรวจจึงได้มาขอดูดข้อมูลจากโทรศัพท์แม่และญาติๆเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง

 

ส่วนผู้ต้องสงสัยเคยเป็นประเด็นต่อกับพี่ชายมาก่อนหรือไม่นั้น น้องสาวเสี่ยต้น บอกว่า เมื่อดูจากสภาพแวดล้อมและความน่าจะเป็นจึงได้สรุปข้อมูลของญาติๆไปในหลายๆอย่าง และพอมีกล้องวงจรปิด จึงสอดคล้องกับข้อมูลที่ได้คุยกัน ทั้งนี้ส่วนตัวของตนเองไม่มีข้อมูลทั้งหมด แต่ญาติคนอื่นๆ มีข้อมูลของผู้ต้องสงสัยและปมความขัดแย้ง แต่ก็ขอให้รอตำรวจสรุปมูลเหตุจูงใจดีกว่า

 

เมื่อถามว่า เป็นคนนี้กี่เปอร์เซ็นต์ที่เชื่อว่าก่อเหตุ น้องสาวของเสี่ยต้น บอกว่า มีลักษณะใกล้เคียง ส่วนจะเชื่ออมโยงกับแชตลับหรือไม่ตนเองไม่ทราบเพราะตนเองไม่ได้มีข้อมูลทั้งหมด และส่วนถ้าเป็นบุคคลนี้มูลเหตุมาจากเรื่องไหนนั้น มูลเหตุก็มาจากหลายอย่าง แต่ทั้งหมดขอให้รอตำรวจเป็นคนสรุป

 

ส่วนคดีที่ สภ.ยางสีสุราช จ.มหาสาคามนั้น นางสาวณัฐปภัษร์ ระบุ ตำรวจได้มีการนัดตนเองกับหลวงพ่อไปให้ปากคำเพิ่มเติม เป็นข้อมูลทั้งหมดที่มีโดยเฉพาะข้อสงสัยการเสียชีวิต และขณะนี้ตำรวจก็จะรอการจับตัวคนร้ายที่ สน.วังทองหลาง ก่อน เพราะหากจับคนร้ายได้ ก็จะขยายผลได้ง่ายขึ้นด้วย

 

และเมื่อวานนี้ แม่ของตนเองได้ย้ายจากบ้านย่านพัฒนาการไปอยู่คอนโด พร้อมยอมรับว่า สภาพจิตใจแม่แย่มาก ทั้งนี้หากมีอะไรก็ขอให้ติดต่อผ่านตนเองคนเดียว เพราะหลังจากนี้ต้องมีการขึ้นศาลจึงต้องรักษาตัวให้ดีขึ้น พร้อมยอมรับว่า สภาพจิตใจของแม่ ตอนนี้แย่มากจากการดูข่าวเพราะโดนโจมตีหนักมาก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องหวังเงินซึ่งตามกฎหมายตนเองไม่มีสิทธิ์ได้อยู่แล้วแต่ตนเองทำเพื่อพ่อกับแม่ ส่วนที่ย้ายไปคอนโด เพราะภรรยาของเสี่ยต้นไล่ไปหรือไม่ ก็ขอให้ตำรวจเป็นคนสรุป และให้ตำรวจแจ้งเลยว่าใช่หรือไม่ และตอนนี้ ตนเองก็เอาหลานไปฝากญาติแล้ว เพราะหลังมีข่าวก็มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตและทำงานลำบากเพราะต้องเดินเรื่องทางคดี

 

ขณะที่เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ทางพนักงานสอบสวนของ สน.วังทองหลาง ได้เรียกพนักงานของสถาบันสอนสปา และเสริมความงาม ซึ่งเป็นธุรกิจของของเสี่ยต้น และภรรยา โดยมีการพนักงานมาสอบปากคำทั้งหมด 3 คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานที่ทำงานมากับเสี่ยต้น เกิน 5 ปีแล้ว การสอบปากคำครั้งนี้จะแยกสอบทีละคน และจะมีการสลับสับเปลี่ยนกันเข้าไปในห้องสอบสวน

 

ทีมข่าวได้สอบถาม นางสาวนี หนึ่งในพนักงานที่ถูกเรียกมาสอบปากคำ เปิดเผยว่า ตำรวจเรียกมาสอบปากคำวันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการถามในเรื่องที่ว่าตัวเองทำงานกับเสี่ยต้น มากี่ปีแล้ว การอยู่การกินเป็นยังไงบ้าง ซึ่งเท่าที่ตัวเองทำงานมานานกว่า 12 ปี ยืนยันได้เลยว่าตัวของเสี่ยต้น และคุณมด ทั้งสองคนเป็นคนดีมาก ดูแลพนักงานทุกคนเป็นอย่างดี และมีความเสมอภาค เท่าที่ได้เห็นและสัมผัสทั้งคู่ดูรักกันดีไม่ได้มีปัญหาหรือทะเลาะอะไรกันให้เห็นมาก่อนแต่อย่างใด

 

โดยทั้งตัวของเสี่ยต้น และคุณมด ถือว่ารักกันมานาน สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกันมาตั้งแต่ไม่มีอะไร ปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัวพนักงานก็ไม่เคยเห็นหรือทราบเลย ส่วนปัญหาอย่างอื่นตัวเองไม่ขอพูดถึงเพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย

 

ต่อมาคุณมด ภรรยาเสี่ยต้น พร้อมกับคุณส้ม น้องสาว ได้เดินทางมาที่สน.วังทองหลาง เพื่อนำเอกสารทางการแพทย์ ของเสี่ยต้น ที่เคยเข้ารับการรักษาที่แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อเดือนมีนาคม มามอบให้กับพันตำรวจเอกเจษฎา ยางนอก ผู้กำกับการ สน.วังทองหลาง รวมทั้งมารับโทรศัพท์มือถือของคุณมด ที่ทางตำรวจได้ขอนำไปตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังเอากลับคืนไป

 

โดยคุณมด ภรรยาเสี่ยต้น ได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับสน.วังทองหลาง ประมาณ 10 นาที และได้มีการแจ้งว่า ยังค้นหาเอกสารบางอย่างที่ตำรวจต้องการไม่เจอ อย่างเช่น ใบรับรองแพทย์ของเสี่ยต้น ซึ่งจะนำมามอบให้ในภายหลัง ขณะที่ทางผู้กำกับสน.วังทองหลาง แจ้งว่าหากมีประเด็นที่ต้องการจะสอบถามเพิ่มเติม จะมีการติดต่อไปอีกครั้ง

 

ระหว่างที่ทั้ง 2 คน กำลังจะเดินทางกลับจากสน.วังทองหลาง คุณมด ภรรยาเสี่ยต้น ระบุถึงประเด็นที่ตำรวจเรียกมาสอบปากคำเพิ่มเมื่อช่วงค่ำวานนี้ ว่า เมื่อคืนนี้ทางตำรวจได้ประสานให้นำโทรศัพท์มือถือเข้ามาให้ เพื่อนำไปตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง แล้วก็ได้มีการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในบางเรื่องด้วย

 

ส่วนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่เสี่ยต้น ถูกลอบยิง นั้น คุณมด ยืนยันว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุ ตัวเองได้นัดกันกับเสี่ยต้น ให้มากินข้าวพร้อมกับครอบครัวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วระหว่างนั้นเสี่ยต้นก็ได้เป็นคนชักชวนให้ไปเที่ยวต่อที่สถานบันเทิง ย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา ซึ่งตอนนั้นตัวเองได้ตอบกลับไปว่า “ ขอคิดดูก่อน ” แต่หลังแยกกันที่ร้านอาหารแล้ว ตัวเองก็ได้โทรศัพท์ไปบอกเสี่ยต้น ว่า ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปด้วยแล้ว ก่อนจะเดินทางกลับไปที่คอนโดย่านรามคำแหง แล้วมาทราบภายหลังว่าเสี่ยต้น ถูกคนร้ายลอบยิง

 

ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงตอนนี้ตัวเอง ไม่ได้มีความกังวลใจอะไร อยากให้ตำรวจทำงานให้เต็มที่ จับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้ ที่สำคัญตัวเองก็อยากรู้ว่าคนร้ายที่มาลอบยิงสามีเป็นใคร ส่วนภาพคนร้ายที่ปรากฏในกล้อวงจรปิด ตำรวจยังไม่มีการนำมาให้ดู แต่ตัวเองได้เห็นจากสื่อ ซึ่งขอยืนยันว่าไม่คุ้นหน้าและไม่รู้จักคนร้าย

 

สำหรับเหตุการณ์ที่จังหวัดมหาสารคาม ในวันที่สามีเสียชีวิต เมื่อวันที่ 16 เมษายน คุณมด บอกว่า สาเหตุที่ไม่ได้ส่งศพชันสูตร เพราะหลังเกิดเหตุแพทย์ รวมถึงตำรวจ ได้แจ้งว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วให้นำร่างไปประกอบพิธีทางศาสนาได้เลย จากนั้นก็จึงได้รอญาติของสามีเดินทางมาที่จังหวัดมหาสารคาม พอญาติๆเดินทางมาถึง ก็ไม่ได้มีการพูดคุยกันในประเด็นว่าจะต้องส่งศพชันสูตรหรือไม่ อย่างไร แล้วก็ได้มีการตกลงร่วมกันเรื่องการจัดงานศพ ดังนั้นตัวเองจึงขอยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคนบอกครอบครัวของเสี่ยต้น ว่าไม่ให้ชันสูตรศพ เพราะกลัวพบสารเสพติด หรือ สารกระตุ้น แล้วจะไม่รับเงินประกันชีวิตที่ทำเอาไว้

 

ด้านคุณส้มระบุว่า เป็นการสอบถามประเด็นทั่วไป เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งชีวิตส่วนตัว และคนในครอบครัว ส่วนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ยืนยันว่าพี่สาวไม่ได้มีการชวนให้ไปเที่ยวสถานบันเทิง ตามที่พี่เขยได้ชวนพี่สาวไป และในคืนนั้นตัวเองก็พักผ่อนอยู่ที่ห้องพักเพียงคนเดียวลำพัง โดยไม่ได้อยู่กับแฟนหนุ่ม

 

โดยหลังจากที่พูดคุยกับทีมข่าวแล้ว ทั้ง 2 คน ได้ขอตัวเดินทางกลับไปที่คอนโด ย่านรามคำแหง เพื่อไปเอาโทรศัพท์มือถือของเสี่ยต้นมามอบให้กับตำรวจเพื่อตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ย้อนหลัง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถกลับออกไป หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้ง 2 คน ก็ได้กลับมาที่สน.วังทองหลาง อีกครั้ง พร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเสี่ยต้น ซึ่งก็ได้นำไปมอบให้กับพนักงานสอบสวน โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพื่อเซ็นเอกสารเกี่ยวกับหลักฐานที่นำมามอบให้ แล้วก็ได้เดินทางกลับทันที

 

ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับสัปเหร่อที่ทำการเผาศพนายพิชิต คือ นายเเสวง อายุ 73 ปี เปิดเผยว่า ในวันที่จะทำการฌาปนกิจศพ วันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่ญาติได้เคลื่อนร่างขึ้นไปไว้บนเมรุและได้นิมนต์พระสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุลเสร็จแล้ว ก่อนจะทำการเผาได้มีการเปิดโลงเพื่อให้ญาติได้ดูหน้าศพ ปรากฏว่าทันทีที่เปิดโลง ตนเองก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น เพราะสภาพศพบวมอืดมากและผิวก็ดำผิดปกติ ซึ่งศพที่เสียชีวิตมาเเค่ 2 - 3 วัน ไม่สมควรจะเปลี่ยนสภาพไปถึงขนาดนี้ เหมือนกับคนตายมาเป็นสัปดาห์ เเม้โลงเย็นจะมีปัญหาก็ตาม ส่วนกลิ่นศพก็มีบ้างแต่ไม่เเรง

 

นายแสวง ยังบอกว่า ตนเองเป็นสัปเหร่อมา 4 ปี ไม่เคยเจอศพไหนแปลกขนาดนี้มาก่อน แม้กระทั่งศพคนที่กินเหล้าแล้วตายในหมู่บ้าน ไม่ได้ใส่โลงเย็น ไม่ได้ฉีดฟอร์มาลีน สภาพศพก็ยังไม่ดำ แต่ตนก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงเพราะญาติไม่ได้ติดใจ จึงรีบทำการเผาทันที โดยที่ไม่ได้ตัดตราสังข์ที่มัดมือออกด้วยซ้ำ เพราะศพเปลี่ยนสภาพไปจนไม่สามารถทำอะไรได้

ตำรวจล็อกเป้าคนสั่งตายเสี่ยต้น เมียสะอึกถูกถามมือปืนใครหรอ?