จากกรณีน้องสาวนำหลักฐานเข้าร้องขอความช่วยเหลือกับนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา เกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของพี่ชาย คือ นายพิชิต หรือ ต้น เมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา โดยสภาพศพดำคล้ำผิดปกติสงสัยว่าถูกวางยาพิษ จึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพี่ชาย นั้น






ล่าสุดวันนี้ (20 พ.ค. 2567) นางสาวณัฐปภัษร์ น้องสาวของนายพิชิต (ผู้เสียชีวิต) ได้นำอัฐิเก็บกระดูกของพี่ชายเดินทางมาที่ สภ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม จุดประสงค์เพื่อให้มีการส่งตรวจพิสูจน์ถึงสาเหตุการตายว่าเกิดจากถูกวางยาพิษหรือไม่ โดยที่หลวงพ่อ ผู้เป็นบิดาของนายพิชิต ได้เป็นตัวแทนในการนำพยานหลักฐานมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นพนักงานสอบสวนก็ได้ทำการสอบปากคำ น้องสาว และพระผู้เป็นพ่อ เพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ โดยใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมง




นางสาวณัฐปภัษร์ ก็ได้เปิดเผยว่า ในวันนี้ตนเดินทางมาที่ สภ.ยางสีสุราช เพื่อนำกระดูกของนายพิชิตมาส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน เนื่องจากเป็นเขตพื้นที่การเสียชีวิตของพี่ชาย ซึ่งจุดประสงค์ครั้งนี้ตนเพียงต้องการตามหาความจริงว่าจะมีสารพิษหลงเหลืออยู่ในเถ่ากระดูกบ้างหรือเปล่า โดยตนก็ได้นำเรื่องดังกล่าวไปปรึกษากับทนายและได้ความเห็นว่า จากสภาพศพของนายพิชิตก็อาจจะถูกสารพิษที่ร้ายแรงอย่างไซยาไนด์และสารหนู แต่ตนก็ไม่ได้จะฟันธงว่าพี่ชายถูกลอบวางยา ตนเพียงแค่ต้องการตรวจสอบในข้อเท็จจริงในสิ่งที่ยังค้างคาใจก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ตนก็ยังตอบไม่ได้ว่าพี่ชายจะเสียชีวิตเองหรือจะถูกฆาตกรรม คงต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปสำนวนก่อน ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ถูกลอบยิงในครั้งแรกก็อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรืออาจจะไม่มีส่วนเชื่อมโยงกันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น จึงต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปสำนวนก่อน




ในส่วนภรรยาของนายพิชิตที่ได้มีการโพสต์ข้อความต่าง ๆ ใจความว่า “ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ไม่ค่อยดีนัก แต่พอพี่ชายตายไปก็กลับมาเรียกร้อง หวังในสมบัติหรือเปล่า” ประเด็นนี้ทางด้านของนางสาวณัฐปภัษร์ ก็ขอข้ามไปก่อนพร้อมกับกล่าวว่า วันนี้ที่ตนเดินหน้าทำทุกอย่างก็เพื่อตามหาความจริง ตนอยากรู้ว่าพี่ชายตายเพราะสาเหตุอะไร เนื่องจากในใบมรณะบัตรไม่ได้บอกอะไรเลย


แต่ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ตนยอมรับว่า เคยมีปากเสียงกับพี่ชายจนโกรธกันอยู่นาน แต่ในวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา ตนได้ทราบข่าวว่าพี่ชายโดนดักยิง ตนก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่อาจถึงชีวิต จนในวันที่ 13 เมษายน ตนจึงเดินทางไปหาพี่ชายและได้มีการพูดคุยเคลียร์ใจกันในวันนั้น นายพิชิตก็ได้กล่าวขอโทษที่เคยพูดจารุนแรง ตนก็ได้ให้อภัยพี่ชาย ซึ่งตนมองว่าเหตุการณ์นั้นเป็นการขอโทษและให้อภัยกันเป็นครั้งสุดท้าย




ด้าน พ.ต.อ.วัชรินทร์ สัตยาคุณ ผกก. สภ.ยางสีสุราช ได้กล่าวว่า วันนี้ทางด้านน้องสาวของผู้เสียชีวิตและพระซึ่งเป็นพ่อ ได้เดินทางมาส่งมอบอัฐิให้กับพนักงานสอบสวน เพื่อส่งตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ จากนั้นพนักงานสอบสวนก็ได้มีการสอบปากคำเพิ่มเติม ในประเด็นที่ทางญาติสงสัยว่าผู้เสียชีวิตอาจจะถูกลอบวางยาด้วยสารพิษ ซึ่งผู้ร้องได้ระบุไว้ 2 สารพิษ ได้แก่ ไซยาไนด์ , สารหนู โดยชนวนที่ทำให้ญาติสงสัยเป็นเพราะนายพิชิตเคยถูกปองร้ายและลอบยิงในพื้นที่ สน.วังทองหลาง จึงเป็นไปได้ว่าทั้งสองเหตุการณ์น่าจะมีความเชื่อมโยงและเป็นกระบวนการเดียวกัน


ส่วนที่สงสัยว่าเหตุการณ์ผ่านมากว่า 1 เดือน แต่ทำไมญาติของผู้เสียชีวิตเพิ่งจะมาร้องทุกข์ ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการสอบปากคำเพิ่มเติม เบื้องต้นน้องสาวของผู้เสียชีวิตก็ให้การว่าสงสัยมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้มายื่นเรื่องที่ สภ.ยางสีสุราช ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ได้สอบถามว่าชนวนการร้องทุกข์มาจากเรื่องทรัพย์สินหรือเปล่า ทางด้านน้องสาวของผู้เสียชีวิต ก็ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับประโยชน์เรื่องทรัพย์สิน แต่เป็นเพียงการติดใจสงสัยในสาเหตุการตายว่าจะถูกลอบวางยาเท่านั้น




นอกจากนี้ พ.ต.อ.วัชรินทร์ ยังเผยอีกว่า เบื้องต้นได้มีการประสานไปยังผู้กำกับกับของหน่วยพิสูจน์หลักฐานจังหวัดมหาสารคาม ได้แจ้งว่าการตรวจหาสารพิษตกค้างจากเถ้ากระดูกนั้นไม่ค่อยมีใครทำ แต่เพื่อให้เป็นไปตามประสงค์ของผู้ร้อง ตนก็ยินดีที่จะนำส่งตรวจให้ไปยังนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ แต่เบื้องต้นต้องขอเรียนไว้ว่าการตรวจหาสารพิษจากเถ้ากระดูกนั้นค่อนข้างยาก เพราะเถ้ากระดูกได้ผ่านความร้อนและมีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร


ในส่วนภรรยาของผู้เสียชีวิตก็จะเข้ามาให้การเพิ่มเติมในช่วง 11.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (21 พ.ค.) ในทุก ๆ ประเด็นที่น้องของผู้เสียชีวิตมีการติดใจสงสัย นอกเหนือจากนี้ก็จะมีการเรียกสอบปากคำแพทย์ผู้พบศพเพิ่มเติมในเรื่องของการระบุสาเหตุการตาย เพื่อสอบถามถึงร่องรอยและสภาพศพว่าจะมีความสอดคล้องกับคำให้การจากน้องของผู้เสียชีวิตหรือไม่ แต่ พ.ต.อ.วัชรินทร์ ขอยืนยันว่า สภาพศพในวันที่เกิดเหตุไม่ได้มีร่องรอยของเล็บม่วงหรือสิ่งผิดปกติใด ในใบชันสูตรไม่ได้ลงรายละเอียดที่น่าสงสัยในเรื่องของยาเสพติดหรือสารเคมีใด ๆ มีเพียงการระบุสาเหตุการเสียชีวิตไว้ว่า “เกิดจากการเจ็บป่วยที่ไม่ทราบสาเหตุ”


ขณะที่ หลวงพ่อวสันต์ อายุ 72 ปี ซึ่งเป็นพ่อของผู้เสียชีวิต เผยว่า ในวันนี้อาตมาเพียงแค่อยากจะหาความจริงว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง เพราะในวันที่เผาศพเห็นว่าหน้าตาของลูกชายค่อนข้างดำ จึงคิดว่าอาจจะมีอะไรแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย ในวันนี้จึงนำกระดูกที่เผาแล้วมาส่งพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งก็เท่านั้น ลูกชายอาตมาจะได้ตายตาหลับ โดยส่วนตัวอาตมาไม่ได้คิดสงสัยหรือกล่าวโทษใคร แต่เชื่อว่าใครทำกรรมอะไรมาก็น่าจะต้องได้รับกรรมอย่างนั้น และหากลูกชายตายตามปกติ ก็จะคิดว่าถึงคราวของเขาที่เกิดมามีอายุได้แค่นี้ ซึ่งในวันที่ลูกชายเสียชีวิต ทางฝ่ายภรรยาของลูกชายก็ได้แจ้งว่า นายพิชิตได้ฉีดยากระตุ้นกล้ามเนื้อเพราะเขาเป็นคนเล่นกล้าม ส่วนเรื่องทรัพย์สมบัติ อาตมายืนยันว่าไม่ได้มีการไปเรียกร้องอะไรจากใคร แต่ฝ่ายลูกสะใภ้มีการแจ้งว่าจะสร้างกุฏิให้ รวมถึงจะยกคอนโดให้แม่ของนายพิชิตอยู่อาศัย แต่จนวันนี้อีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ยกอะไรให้ตามที่เคยรับปากเพราะบอกว่ายังไม่พร้อม ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ไปเร่งรัดอะไรและปล่อยให้เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา




ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายกับภรรยา ก็ทราบอยู่บ้างว่าทั้งสองคนมีปัญหากันและได้แยกกันอยู่ แต่ก็เพิ่งแยกกันอยู่ได้ไม่นาน ส่วนเหตุการณ์วันที่นายพิชิตโดนลอบยิง ลูกชายก็ได้กลับมาเล่าให้ฟังว่า “พ่อ ผมโดนดักยิงนะ ภรรยาเรียกผมให้ออกไปหาแต่เขาไม่มา พอผมขับรถกลับก็ถูกดักยิง” แต่ตอนนั้นอาตมาก็ไม่ได้สงสัยใครและคิดว่าลูกชายอาจจะไปมีเรื่องอะไรกับใครหรือเปล่า


และในวันที่ตนทราบข่าวว่าลูกชายตาย ยอมรับว่ารู้สึกงง เพราะตอนบ่ายก่อนที่นายพิชิตจะออกเดินทางไปมหาสารคาม อาตมาก็ถามลูกชายแล้วว่า “ไม่เอาตำรวจไปด้วยเหรอ ลูกเพิ่งจะโดนยิงมา” แต่เขาไม่เอา เขาไม่เชื่อ จากนั้นอาตมาก็ไปส่งลูกชายที่สนามบิน จนเช้าวันต่อมาก็ทราบข่าวว่าลูกชายตาย ตอนนั้นก็ใจหายเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าคงจะมีปัญหา เพราะฝ่ายภรรยาก็บอกให้ลูกชายเดินทางไปแค่คนเดียวพร้อมกับซื้อตั๋วเครื่องบินให้เสร็จสรรพ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ บอกให้เอาตำรวจไปก็ไม่เอา บอกให้ห้อยพระไปก็ไม่เอา อาตมาก็ทำใจไว้อยู่และเคยคิดอยู่ในใจว่า “ถ้าเป็นอะไรไปก็เป็นกรรมของแกนะ” แต่ก็ไม่นึกว่าจะไปเร็วอย่างนี้




ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ผู้กำกับการ สภ.ยางสีสุราช พร้อมด้วยชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ลงพื้นที่มายังบ้านที่เกิดเหตุ เพื่อสอบปากคำครอบครัวของภรรยาผู้ตาย เบื้องต้นทางครอบครัวของภรรยาผู้ตายได้ให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี แต่ไม่อนุญาตให้สื่อเข้าไปสอบถามข้อมูลภายในบ้าน จากนั้นตำรวจได้เดินทางมาตรวจสอบกระต๊อบที่ผู้ตายเสียชีวิต ซึ่งถูกนำมาตั้งเอาไว้อยู่ภายในวัดดงเมืองน้อย เพื่อตรวจสอบซ้ำพร้อมถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน




จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญนางกล่ำ แม่ของภรรยาผู้ตาย รวมถึงญาติที่อยู่ด้วยกันในวันเกิดเหตุ มาสอบปากคำที่ สภ.ยางสีสุราช โดยใช้เวลาสอบปากคำประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางกลับ ซึ่งระหว่างนั้นสื่อมวลชนที่ปักหลักเฝ้ารออยู่บริเวณด้านหน้าโรงพัก ได้พยายามสอบถามข้อเท็จจริงจากแม่ของภรรยาผู้ตาย แต่เจ้าตัวไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรูปคดี เพียงแค่บอกว่า “วันนี้เข้ามาสอบปากคำตามที่ตำรวจเรียกก็ไม่มีอะไรมาก” เมื่อถามว่านายพิชิตมีโรคประจำตัวอะไรไหม นางกล่ำ ก็ตอบว่า “ไม่รู้” เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ ก็ตอบว่า “ไม่กังวล” ผู้สื่อข่าวยังถามอีกว่า ยังคงยืนยันในความบริสุทธิ์ใจหรือไม่ เจ้าตัวก็ยืนยัน ก่อนจะรีบขับรถออกจากโรงพักไปในทันที




ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางทองนาค อายุ 65 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของร้านหีบศพ เผยว่า ในวันที่ 16 เมษายน ทางด้านญาติของนายพิชิตได้ติดต่อมาขอเช่าซื้ออุปกรณ์การทำศพ ตนก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นโลงไม้หรือโลงเย็น จนช่วงเวลาประมาณ 08.00 น. ตนก็ได้นำโลงเย็นไปเปิดวอร์มเครื่องและตรวจเช็กความเย็น พบว่าโลงเย็นก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่หลังจากนั้นในเวลาประมาณ 14.00 น. ตนก็ได้ให้พนักงานไปตรวจสอบความเรียบร้อยที่งานศพอีกครั้งหนึ่ง พนักงานก็โทร. มาบอกว่าโลงเย็นนั้นไม่ค่อยเย็นฉ่ำเท่าไร ตอนนั้นจำได้ว่ามีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 10 องศาเซลเซียส ตนจึงสั่งให้พนักงานนำโลงเย็นตัวใหม่ไปเปลี่ยน ซึ่งก็จะมีอุณหภูมิ -10 องศาเซลเซียส โดยระหว่างการสับเปลี่ยนโลงเย็น ตนก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติใด ศพไม่ได้มีกลิ่นเหม็นหรือมีน้ำเหลืองไหลออกมาแต่อย่างใด จนกระทั่งวันที่ต้องทำการฌาปนกิจศพ ก็พบว่าสภาพศพได้เปลี่ยนไปเป็นสีดำ ซึ่งเป็นสภาพศพที่ตนไม่เคยพบเห็นมาก่อนและมองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ




แต่ถ้ามีคนบอกว่าสภาพศพเป็นอย่างนั้น เพราะโลงเย็นมีความเย็นไม่เพียงพอ ตนขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ หากโลงเย็นไม่พอสภาพศพจะต้องเปลี่ยนเป็นอีกแบบ จะต้องเป็นลักษณะของตาถลน ลิ้นจุกปาก เนื้อเน่าเปื่อย เป็นต้น อีกทั้งช่องว่างระหว่างการสับเปลี่ยนโลงเย็นนั้น มีระยะห่างกันเพียง 6-7 ชั่วโมง จึงไม่สามารถทำให้ศพเปลี่ยนสภาพได้เร็วขนาดนั้น


นอกจากนั้น นางทองนาค ได้พาทีมข่าวไปดูโลงเย็นตัวที่ใช้บรรจุร่างนายพิชิต แล้วก็ได้ทำการทดลองเสียบปลั๊กของโลงเย็น พบว่า เสียบปลั๊กไปได้เพียง 5 นาที โลงเย็นก็เริ่มทำความเย็นแล้ว แสดงให้เห็นว่าโลงเย็นยังคงใช้งานได้ตามปกติ และไม่ได้ชำรุดเสียหายแต่อย่างใด

 

ญาติคาใจส่งกระดูก CEO ศพสีดำพิสูจน์ ทนาย ชี้ คดีนี้มีพิรุธ