กรณีพบศพชายชาวอินเดีย ถูกยิงหัวลากศพโยนทิ้งริมถนนบริเวณ พื้นที่หมู่ 3 บ้านนา ต.หล่อยูง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา สภาพเลือดออกที่ใบหน้าบริเวณจมูกและกกหู ข้อมือ 1 แผล และท้ายทอยถูกยิงด้วยอาวุธปืนทะลุแก้มข้างซ้าย เบื้องต้นสันนิษฐานขัดแย้งธุรกิจหรือฆ่าชิงทรัพย์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา พื้นที่ สภ.โคกกลอย ตามที่ได้เสอนข่าวไปแล้ว นั้น




ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (18 พ.ค. 2567) ที่ สภ.โคกกลอย ตั้งแต่ช่วงเช้าตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพังงา และเจ้าหน้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โคกกลอย ได้กระจายกำลังไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต จังหวัดใกล้เคียงเป็นรอยต่อจุดเกิดเหตุ ซึ่งคาดว่า ผู้ตายจะเดินทางทำธุรกิจและอาศัยอยู่ในพื้นที่ 2 จังหวัดดังกล่าว


กระทั่งล่าสุดตำรวจได้เบาะแสพบรถและผู้ต้องสงสัย เป็นชาวปากีสถานกับภรรยาชาวไทย ต่อมาได้เชิญตัวทั้งคู่มาสอบปากคำ เบื้องต้นพบว่า ปมเหตุการณ์ลงมือฆ่าครั้งนี้น่าจะเป็นการหักหลังกันทางธุรกิจ แล้วหลอกมาฆ่า โดยผู้ตายนั้นจากการตรวจสอบพบว่า เพิ่งเดินทางเข้าประเทศไทยมาได้ประมาณ 20 วัน ก่อนจะกลายเป็นศพ


ส่วนผู้ต้องสงสัยซึ่งเป็นชายชาวปากีสถาน ตำรวจได้เค้นสอบอยู่ในห้องสืบสวน ส่วนภรรยาคนไทยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางพาไปค้นบ้านพัก โดยพบว่าภายในบ้านพบอาวุธปืน ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ตายหรือไม่ แต่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูง นอกจากนี้ยังพบเครื่องกระสุนปืนและปืนในรถของที่สองผัวเมียใช้ในการขนศพไปทิ้งอีกด้วย ซึ่งวันนี้หลังจากการเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่ พฐ. ได้นำมาหลักฐานมาตรวจสอบเพิ่ม


ขณะเดียวกันทีมข่าวได้ตรวจสอบสอบถามไปยัง พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพังงาเปิดเผยว่า ล่าสุดตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเป็นผัวเมียที่คาดว่าก่อเหตุได้แล้ว แต่อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับ คาดว่าน่าจะออกหมายจับได้ภายในวันนี้ และในวันพรุ่งนี้เวลา 10 โมง จะมีการแถลงข่าวจับกุมผู้ก่อเหตุอีกครั้ง




ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ศาลจังหวัดพังงาได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาสองผัวเมียทั้ง 2 คนแล้ว คือ MR. YASIR ASHFAQ (ยาซิร์ อัชฟาก) ชาวปากีสถาน และนางคาดิจายาซิร์ อัชฟาก ภรรยาชาวไทย โดยนายยาซิร์ สามี ถูกตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , มีเครื่องกระสุนปืน และอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนนางคาดิจายาซิร์ ถูกตั้งข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่น , มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต




ขณะที่ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นได้ยึดรถเก๋ง สีขาว 1 คันที่ผู้ต้องหาใช้ก่อเหตุยิงนักธุรกิจชาวอินเดีย หลังจากที่เจ้าหน้าที่แกะรอยจากภาพที่ผู้ต้องหาเคยโพสต์ภาพคู่กับรถคันสีขาวที่ใช้ก่อเหตุ ก่อนจะไปล็อกเอารถมาตรวจสอบและไปเจอร่องรอยกระสุนอยู่ที่คอนโซลเบาะข้างคนขับ 1 รอย ประกอบกับการสอบปากคำ ระบุว่า ผู้ต้องหาและผู้ตายมีการเข้ามาเคลียร์ปัญหาบางอย่างกันภายในรถ ก่อนจะลงมือฆ่าโดยใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตาย




ล่าสุดทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านพัก ตามที่อยู่บัตรประชาชนของสองผัวเมียที่ก่อเหตุ เราได้พูดคุยกับ นายลี (นามสมมติ) พ่อของนางคาดิจายาซิร์ ผู้ก่อเหตุ ให้ข้อมูลกับทีมข่าว ตนเองรู้สึกตกใจไม่คิดว่าลูกสาวจะถูกตำรวจออกหมายจับ โดยยืนยันที่ผ่านมาหลังเกิดเรื่องลูกสาวไม่เคยบอก หรือตัดพ้อว่าตัวเองไปร่วมก่อเหตุกับสามีฆ่าคนมา ในเฟซบุ๊กของลูกสาวยังคงโพสต์ขายกาแฟ ซื้อทอง แชร์ความสำเร็จกับลูกเขยอยู่เลย


โดยตนเองขอยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่รู้จักกับผู้ตายด้วย ส่วนผู้ตายไปมีความขัดแย้งอะไรกับลูกเขยและลูกสาวตนเอง คาดว่าน่าจะเป็นปมขัดแย้งทางธุรกิจเกี่ยวกับตัวของลูกเขยที่เปิดธุรกิจจำหน่ายตั๋วท่องเที่ยวในภูเก็ตหรือไม่ เนื่องจากธุรกิจขายกาแฟอาหารเสริมของลูกสาวก็เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานไม่น่าจะมีความขัดแย้งเรื่องนี้




ต่อมาในเวลา 21.30 น. พล.ต.ต.นิพันธ์ พาณิชเจริญ พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.พังงา และพล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส..ภ.8 ได้ร่วมกันแถลงข่าวว่า ชุดสืบสวนสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน พบว่าผู้เสียชีวิตและผู้ต้องหาที่ 1 เป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจร่วมกันที่ประเทศดูไบ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ผู้เสียชีวิต ได้ร่วมทุนถือหุ้นธุรกิจนำเที่ยว ของนางคาดิจายาซิร์ อายุ 39 ปี สัญชาติ ไทย (ผู้ต้องหาที่ 2) ซึ่งเป็นภรรยา ของผู้ต้องหาที่ 1 จนกระทั่งก่อนเกิดเหตุเชื่อว่า ผู้เสียชีวิตกับผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 ได้มีปัญหาขัดแจ้งกันเกี่ยวกับธุรกิจ ผู้ต้องหาทั้งสองจึงได้วางแผน จัดเตรียมอาวุธปืน และลวงผู้เสียชีวิตพาโดยสารรถยนต์ของผู้ต้องหามายังที่เกิดเหตุ และได้ใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตาย และได้ทิ้งศพไว้ในที่เกิดเหตุ




โดยการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ผู้ต้องหาพาผู้เสียชีวิตไปก่อเหตุ พบรถยนต์ที่ผู้ต้องหาใช้เป็นพยานพาหนะ จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายค้นบ้านพักของผู้ต้องหาทั้ง 2 ผลการตรวจค้นพบอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ พบรองเท้าผู้เสียชีวิต และเสื้อผ้าที่ผู้ต้องหาสวมใส่ขณะเกิด ต่อมาได้ทำการการตรวจค้นห้องพักที่คอนโดแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองภูเก็ต ซึ่งผู้ต้องหาได้เช่าพักอาศัย ผลการตรวจค้นได้พบทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตที่ผู้ต้องหาทั้งสองนำไปเก็บไว้ และพบรถยนต์ โตโยต้า วีออส สีขาว ที่ผู้ต้องหาทั้งสองใช้เป็นยานพาหนะในการก่อเหตุ ซึ่งมีร่องรอยกระสุนปืนและคราบเลือดของผู้เสียชีวิตในรถยนต์คันดังกล่าว จึงได้ประสาน พฐ.จว.พังงา และ พฐ.จว.ภูเก็ต จัดเก็บวัตถุพยาน จนมีพยานหลักฐานเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้งสองร่วมกันก่อเหตุในครั้งนี้ จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดพังงาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสอง เบื้องต้นผู้ต้องหาในการสารภาพและได้พาเจ้าหน้าที่ไปเก็บทรัพย์สินของผู้ตาย




จากการแกะรอยจากกล้องวงจรปิด พบว่าเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้งสองได้พาผู้ตายนั่งรถเก๋ง โตโยต้า วีออส สีขาว จากจังหวัดภูเก็ตมุ่งหน้าไปยัง จ.พังงา โดยมี นางคาดิจายาซิร์ เป็นคนขับ แต่ระหว่างทางผู้ตายซึ่งนั่งข้างคนขับได้มีปากเสียงกับนายยาซิร์ ที่นั่งอยู่เบาะหลังในเรื่องธุรกิจ นายยาซิร์จึงบอกให้นางคาดิจายาซิร์ ขับรถไปจนถึงบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วใช้อาวุธปืนยิงนักธุรกิจชาวอินเดียจนเสียชีวิตก่อนลากศพลงไปทิ้งไว้บริเวณที่เกิดเหตุและหลบหนีไปที่บ้านพักในพื้นที่ ต.โคกกลอย จ.พังงา เพื่อล้างรถทำลายหลักฐาน และนำอาวุธปืนไปซ่อนไว้ที่บ้านหลังนั้น


จากนั้นได้นำทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ตายไปเก็บไว้ที่คอนโด ในพื้นที่อำเภอเมืองภูเก็ต สำหรับจุดที่ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าผู้ต้องหานี้เป็นคนก่อเหตุ คือพิสูจน์คำให้การที่บอกว่าแยกกับผู้ตายที่หาดกะตะนั้นไม่จริง พบว่า ทั้งหมดขึ้นรถไปด้วยกัน และผู้ตายก็สวมชุดเดียวกับที่เป็นศพ ขณะที่เจ้าหน้าที่เตรียมสอบเชิงลึกในเรื่องมูลเหตุและธุรกิจที่ทำร่วมกันด้วย

 

รวบผัวปากีฯ-เมียไทย ลวงฆ่าอินเดีย ขนศพทิ้งข้ามจังหวัด