จากกรณีชาวบ้านไปพบศพ นายนพดล หรือ โด่ง อายุ 46 ปี บริเวณป่าหนาม ห่างจากถนนสาธารณะประมาณ 1 กม. ริมห้วยลำมาศ หมู่ 7 บ้านหนองหว้า ต.ทรัพย์พระยา สภาพศพนอนหงาย มีร่องรอยการกัดแทะของสัตว์ ส่วนหัวมีร่องรอยการถูกเผา คาดเสียชีวิตมาประมาณ 6 วัน




เหตุการณ์ดังกล่าวชาวบ้านแบ่งความคิดออกเป็น 2 กลุ่ม บางคนบอกว่าช็อคตายเนื่องจากอากาศร้อน แต่หลายคนสงสัยกรณีมีร่องรอยการถูกเผาบริเวณศีรษะ น่าจะมีคนมาทำร้ายให้เสียชีวิตหรือไม่ เนื่องจากพบหลักฐานหลายอย่าง เช่น รองเท้าของผู้ตายวางอยู่คนละจุดกัน มีดของผู้ตายที่หล่นอยู่ และร่องรอยการถูกเผาใบหน้า ทั้งนี้จากข้อมูลเบื้องต้นทราบว่า ผู้ตายหายตัวไปตั้งแต่ 29 เม.ย. เนื่องจากผู้เป็นพ่อรอลูกชายกลับบ้าน แต่ปรากฏว่าเจ้าตัวหายไปเลย จึงคาดว่าน่าจะเสียชีวิตตั้งแต่วันนั้น


ล่าสุด (7 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่ยืนยันว่าผู้ตายไม่น่าจะเสียชีวิต 29 เม.ย. แต่คาดว่าน่าจะเสียชีวิตวันที่ 1 พ.ค. โดยกล้องวงจรปิดของวันที่ 1 พ.ค. เวลา 21.13 น. โดยจุดที่พบล่าสุดนั้นเป็นบริเวณร้านค้าของชาวบ้าน ที่อยู่ห่างจากบ้านของนายนพดล ผู้ตาย ประมาณ 300 เมตร ซึ่งจะเห็นว่านายนพดลได้เดินส่องไฟฉายเข้ามาที่ร้านค้าเพียงลำพัง โดยที่นายนพดลนั้นได้สวมกางเกงเพียงตัวเดียวและไม่สวมเสื้อ (คาดว่าเป็นชุดเดียวกันตอนพบศพ)




จากนั้นในเวลา 21.16 น. นายนพดลก็ได้เดินออกจากบริเวณร้านค้าไป ซึ่งกล้องก็ไม่สามารถบันทึกภาพได้ทั้งหมดว่านายนพดลนั้นจะเดินออกไปฝั่งไหน เนื่องจากภาพจากกล้องวงจรปิดได้ถูกลบไปตามวันและเวลาที่ครบกำหนด จะเหลือเพียงแค่วิดีโอบางส่วนที่สามารถกู้กลับมาได้ โดยชาวบ้านได้ยืนยันว่าเป็นนายนพดล 100% เนื่องจากนายนพดลมักจะมาซื้อเหล้าในตอนดึกเป็นประจำ แต่ทว่า ช่วงดังกล่าวรวมถึงตอนนี้เจ้าของร้านได้ไปทำธุระที่กรุงเทพฯ จึงไม่ได้ออกมาขายเหล้าให้นายนพดลในตอนนั้น


วันนี้ ทีมข่าวได้พบกับ นางฉลวย อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตนกับนายนพดล (ผู้ตาย) นั้นอยู่กินกันมานานแล้ว แต่ทั้งสองคนนั้นไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบคู่ผัวตัวเมีย อีกทั้งนายนพดลก็จะไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านของเขาและบ้านของตน บางวันก็จะมาหามานอนกับตน แต่บางวันก็จะกลับไปนอนที่บ้านนายอุดมพ่อของเขา ซึ่งที่ผ่านมาความรักก็ราบรื่นดี ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรมากนัก จะมีแค่บางช่วงที่นายนพดลนั้นมีอาการหึงหวงตนบ้างตามประสา แต่ตนก็ยืนยันว่าไม่ได้มีใครอื่นที่ไหน




ซึ่งช่วงปลายเดือนเมษายน ตนก็จำไม่ได้ว่าเป็นวันที่เท่าไร นางส้มซึ่งเป็นชาวบ้านละแวกใกล้เคียงก็ได้มาจ้างให้นายนพดลไปทำงานก่อสร้าง ซึ่งคนรับจ้างมีทั้งหมด 3 คน คือ นายนพดล, นายสุบรรณ, นายอุดม ส่วนตนก็ได้ไปรับจ้างเป็นแม่ครัวทำกับข้าวให้เหล่าคนงาน ซึ่งนางส้มก็ได้มีการว่าจ้างให้ทำงานทั้งหมด 4 วัน โดยสองวันแรกนายนพดลก็ได้ไปทำงานตามปกติ แต่ในวันที่ 3 ตนก็ไม่เห็นนายนพดลมาทำงาน


ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 29-30 เมษายน (ไม่แน่ใจ) เวลาประมาณ 08.00 น. ตนจึงได้ไปปลุกสามีที่บ้านของนายอุดม (พ่อของผู้ตาย) ตอนนั้นก็เห็นว่านายนพดล (ผู้ตาย) กำลังนอนหลับอยู่ ตนจึงพยายามปลุกให้ไปทำงานเนื่องจากสามีได้รับค่าแรงล่วงหน้ามาแล้ว 300 บาท แต่นายนพดลก็ตอบมาว่า “เดี๋ยวลุกเอง เดี๋ยวตามไป ไปก่อนเลย” จากนั้นตนก็ไปทำงานที่บ้านนางส้ม จนเวลาล่วงเลยไป 11.00 น. ตนก็ยังไม่เห็นนายนพดลมาทำงาน ตนจึงย้อนกลับไปดูนายนพดลที่บ้านหลังเดิมอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบกับสามีแล้ว ตอนนั้นตนคิดว่าสามีน่าจะไปเที่ยวเล่นอยู่บ้านเพื่อนคนไหนสักคน แต่ตามหาเท่าไรก็หาไม่เจอ




จนกระทั่งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2567 ก็ได้ทราบข่าวว่าพบศพของนายนพดล แต่ตอนนั้นตนก็ไม่ได้ไปตามหาด้วยเพราะกำลังสอบปากคำอยู่ที่โรงพัก ซึ่งตนก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมนายนพดลถึงไปเสียชีวิตอยู่ตรงนั้น แล้วทำไมถึงไปเสียชีวิตอยู่ในสภาพแบบนั้น ส่วนบาดแผลที่ใบหน้า ตนขอยืนยันว่าเป็นการหกล้ม เนื่องจากตนเมาสุราและมีคนเห็นเหตุการณ์หลายคน น่าจะช่วงวันที่ 2-3 พ.ค. จากนั้นตนก็ไปแกะแผลเพราะตกสะเก็ด ทำให้แผลหลายช้าและเป็นแผลเป็นแบบนี้ ซึ่งตนนั้นรักสามีเป็นอย่างมาก ไม่เคยคิดจะทำร้ายสามีเลยแม้แต่ครั้งเดียว


ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางส้ม อายุ 72 ปี ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างให้นายนพดล ผู้ตาย และพรรคพวกไปทำงานก่อสร้างที่บ้าน โดยนางส้มเล่าว่า ตนได้จ้างให้นายนพดล, นายสุบรรณ, นายอุดม มาทำงานก่อสร้างที่บ้าน โดยให้ค่าแรงวันละ 300 บาท ซึ่งทั้งสามคนก็ได้มาทำงานที่บ้านของตนตั้งแต่เช้า พอตกเย็นก็จะเลิกงานแล้วตั้งวงนั่งดื่มเหล้ากันพอหอมปากหอมคอ ซึ่งในวงเหล้าก็จะมีนางสาวฉลวยมาร่วมด้วย แต่ปัญหามีอยู่ว่าคนอื่น ๆ นั้นจะขยันขันแข็งทำงานกันหมด ยกเว้นนายนพดลที่ไม่ค่อยทำงาน บางวันก็เอาแต่นอน




ซึ่งวันที่สองของการทำงาน นายนพดลก็ได้มาขอเบิกค่าแรงล่วงหน้าซึ่งตนก็ให้ไป 300 บาท แต่ทว่าวันต่อมานายนพดลก็ไม่ยอมทำงาน ตนก็ปล่อยไปเลยตามเลยเพราะไม่รู้จะไปตามนายนพดลยังไงเนื่องจากแข้งขาตนก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ระหว่างการทำงานอยู่ที่บ้านของตน ตนก็ไม่เคยเห็นนายนพดลกับนางสาวฉลวยทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งคู่ก็เหมือนคู่สามีภรรยาทั่วไปไม่ได้มีอะไรผิดสังเกต หลังทราบข่าวก็รู้สึกตกใจอยู่ แต่ตนก็ไม่ได้สนิทอะไรกับใครเท่าไร วันนี้ก็แค่มาให้ปากคำกับตำรวจตามที่เล่าให้นักข่าวฟัง




ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางสาวจันทร์จิรา อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นแม่ค้าที่เปิดร้านขายของชำอยู่ละแวกบ้านของผู้เสียชีวิต เล่าว่า นายนพดลและนางสาวฉลวยนั้นเป็นคู่ผัวเมียติดเหล้า ทั้งคู่มักจะมาซื้อเหล้าขาวที่ร้านของตนเป็นประจำ และเท่าที่ตนเคยพบเห็นทั้งคู่มาเป็นเวลานาน ตนก็ขอยืนยันว่าบาดแผลบนใบหน้าของนางสาวฉลวยนั้นมีมานานแล้ว โดยที่นางสาวฉลวยนั้นจะกินเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ เมาทีไรก็ลื่นบ้าง ล้มบ้าง ตามเนื้อตามตัวก็เป็นแผลฟกช้ำเต็มไปหมด


อีกทั้งนางสาวฉลวยยังชอบแกะแผลตัวเองทำให้แผลนั้นหายช้า ซึ่งก็มีบางบาดแผลที่ไม่ได้มาจากการหกล้ม แต่มาจากการถูกนายนพดลตบตี ตนก็เคยสอบถามไปอยู่ครั้งหนึ่งว่าทำไมถึงได้ตบตีกันรุนแรงขนาดนั้น ซึ่งทราบภายหลังว่าปมเหตุก็มาจากความหึงหวง เนื่องจากทางด้านของนางสาวฉลวยนั้นก็เป็นผู้หญิงฮอตคนหนึ่ง นางสาวฉลวยมักจะมีกิ๊กมีกั๊กอยู่เสมอ คนในหมู่บ้านเขาก็รู้กันดี พฤติกรรมก็คือนางสาวฉลวยจะไปเที่ยวเล่นกับผู้ชายคนอื่นเพื่อแลกกับเหล้า แต่ถ้าถามว่านางสาวฉลวยนั้นจะทำร้ายนายนพดลหรือไม่ ตนก็กล้ายืนยันว่าเป็นไปไม่ได้เพราะต่อให้นางสาวฉลวยจะมีผู้ชายคนอื่น แต่นางสาวฉลวยก็รักนายนพดลเป็นอย่างมาก ขนาดถูกตบตียังไม่เคยตอบโต้เลยสักครั้ง หลังจากที่นายนพดลหายตัวไป ตนก็เห็นว่านางสาวฉลวยนั้นพยายามเดินไล่ถามคนนั้นที คนนี้ที ว่าเจอนายนพดลบ้างหรือเปล่า

 

หนุ่มหายตัวปริศนาพบเป็นศพถูกเผา พิรุธ สาวสนิทหน้าปูดอ้างล้มฟาดพื้น