ความคืบหน้าคดีที่นายนารินทร์ หรือ แซม ใช้อาวุธปืนยิง นายคงชัย รอดคล้าย เพื่อนข้างห้องเสียชีวิตภายในคอนโดย่านงามวงศ์วาน 23 จ.นนทบุรี เมื่อวานนี้ (29 เม.ย.67) หลังศาลจังหวัดนนทบุรีออกหมายจับ ในข้อหา ‘ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา’

 

ล่าสุดมีรายงานว่าชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี และชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 1 สามารถติดตามจับกุมตัวนายนารินทร์ หรือ แซม ผู้ก่อเหตุ ได้ภายในซอยรัตนกวี เขตจอมทอง

 

โดยหลังจากที่ก่อเหตุเมื่อวานนี้แล้ว ตำรวจได้สืบสวนหาเบาะแส จนพบว่า ผู้ก่อเหตุได้ใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลบหนี เมื่อออกจากซอยงามวงศ์วาน 23 แล้วได้ขี่รถไปตามถนนงามวงศ์วาน จากนั้นมีการขี่รถในลักษณะวนไปวนมา แล้วเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร แล้วได้เข้าไปในซอยชุมชนแห่งหนึ่ง

 

ซึ่งคาดว่าผู้ก่อเหตุมีการเปลี่ยนทรงผมเพื่ออำพรางตัวเองในการหลบหนีด้วย จากนั้นตำรวจพบเบาะแสว่าผู้ก่อเหตุได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์หลบหนี ไปที่บ้านเพื่อนย่านวัดสังข์กระจาย เขตบางกอกใหญ่ จึงได้เชิญตัวเพื่อนมาสอบปากคำ โดยเพื่อนของผู้ก่อเหตุ ให้ข้อมูลว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 8 โมงกว่าๆ ของเมื่อวานนี้ ผู้ก่อเหตุได้ขี่รถมาหาที่บ้าน บอกว่าไปก่อเหตุยิงคนตาย เพื่อนจึงได้พูดเกลี่ยกล่อมให้เข้ามอบตัว แต่ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะกลัวจะถูกทำร้าย โดยผู้ก่อเหตุได้อยู่ที่บ้านจนถึงประมาณ 5 โมงเย็น แล้วก็ได้ขี่รถออกไป

 

ตำรวจจึงแกะรอยหาเบาะแสเพิ่มเติม กระทั่งจับกุมตัวได้ดังกล่าว

 

ทั้งนี้ในส่วนของนายนารินทร์ หรือ แซม ผู้ก่อเหตุ ทราบว่า ถือ 2 สัญญาณ ไทย - สวีเดน เนื่องจากแม่ได้พาไปอยู่ที่ประเทศสวีเดน ตั้งแต่เล็กจึงได้สัญชาติสวีเดนเพิ่มมา แล้วหลังจากนั้นเมื่อแม่ซื้อคอนโดที่ประเทศไทย คือ คอนโดที่เกิดเหตุ นายนารินทร์ หรือ แซม จึงได้กลับมาอยู่เมืองไทย แล้วเริ่มทำงานเป็นรปภ. ก่อนจะออกจากงาน มาขายของออนไลน์เมื่อไม่นานมานี้

 

ภายหลังตำรวจสามารถจับกุมนายนารินทร์ หรือ “แซม” อายุ 47 ปี ที่ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงนายคงชัย ฃ อายุ 45 ปี เพื่อนข้างห้องเสียชีวิตภายในคอนโด ซอยงามวงศ์วาน 23 (ซอยวัดบัวขวัญ) จังหวัดนนทบุรีเมื่อวานนี้ได้แล้ว บริเวณบ้านพักภายในซอยรัตนกวี เขตจอมทอง กทม. โดยเจ้าตัวยอมรับสารภาพในชั้นสืบสวน

 

ต่อมา พลตำรวจโทจิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้เดินทางมาที่คอนโดเกิดเหตุ โดยมีรถตู้ตำรวจขับตามมาด้วย ก่อนพบว่าด้านในมีนายแซมนั่งอยู่ จากนั้นตำรวจได้เปิดประตูรถ พร้อมนำตัวนายแซมลงมา จากการสังเกตนายแซมอยู่ในสภาพสวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ใส่เสื้อแขนยาว ก่อนจะพาเข้ามาสอบปากคำในห้องสำนักงานนิติบุคคลอาคารของคอนโด ซึ่งมีพลตำรวจโทจิรสันต์สอบปากคำด้วยตัวเอง

 

โดยระหว่างที่ตำรวจจะพาผู้ต้องหาเข้าไปในห้องสำนักงานนิติบุคคลอาคารของคอนโด ทีมข่าวได้พยายามสอบถามนายแซมถึงสาเหตุของการก่อเหตุครั้งนี้ ซึ่งนายแซมบอกว่า สาเหตุที่ลงมือ เพราะบันดาลโทสะพร้อมอ้างว่าอดทนมานาน 5 ปีแล้ว แต่ไม่ตอบว่าสาเหตุมาจากเรื่องสุนัขหรือไม่

 

เมื่อถามว่าเสียใจและอยากขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิตหรือไม่นั้น เจ้าตัว บอกว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิต

 

เมื่อสอบปากคำนานกว่า 10 นาที ตำรวจได้นำตัวนายแซมขึ้นไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณโถงหน้าลิฟต์ชั้น 9 ซึ่งในขณะขึ้นลิฟต์ขึ้นไป ปรากฏว่าลิฟต์ค้าง แม่บ้านและช่างอาคาร ต้องรีบนำกุญแจไปไขเปิดลิฟต์ช่วยตำรวจ รวมถึงผู้ต้องหาออกมาจากลิฟต์อย่างทุลักทุเล ก่อนจะเปลี่ยนลิฟต์ให้ไปใช้ลิฟต์ฝั่งตรงข้าม เพื่อขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 10 ก่อนต้องเดินลงบันไดหนีไฟลงมา 1 ชั้น เพื่อมายังชั้น 9

 

โดยจุดแรกที่ ตำรวจคุมตัวนายแซมไปทำแผน คือ บริเวณทางเดิน ออกมาจากห้อง ชั้น9 จุดที่ยิงผู้เสียชีวิตจนผู้เสียชีวิตล้มลง ซึ่งนายแซม พูดอธิบายประกอบการชี้จุด และทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ด้วยสีหน้านิ่งเรียบเฉย ว่า “ผมตั้งใจจบชีวิตเขา จึงมาจ่อยิงที่ศีรษะแล้วก็เดินกลับไปที่ห้อง แล้วก็ออกมาจากห้องเพื่อลงไปข้างล่าง แต่ลืมกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ จึงจะขึ้นมาเอา แต่ก็ลืมกุญแจห้องด้วย เลยคิดว่าอาจจะใช้เวลามากไปจึงไปขอยืมไขควงจากแม่บ้านด้านล่าง แล้วก็ขึ้นมาใช้ไขควงงัดเปิดประตูห้อง เพื่อเอากุญแจรถจักรยานยนต์”

 

จากนั้นตำรวจพาไปชี้จุดที่หน้าห้อง ของนายแซม ซึ่งอยู่ติดกับห้องของผู้ก่อเหตุ และมาชี้ จุดสุดท้าย จุดที่ ผู้เสียชีวิตล้มจมกองเลือดและภรยาของผู้เสียชีวิตกำลังปั๊มหัวใจ ซึ่งจังหวะนี้ นายแซมกลับขึ้นมาที่ห้องเปลี่ยนเสื้อแล้วเดินผ่านไปเพื่อลงลิฟต์หลบหนี

 

โดยนายแซม พูดว่า ผมได้หันมาพูดระหว่างเดินผ่าน ขณะที่ภรรยาเขาปั๊มหัวใจว่า “ปากดีก็ต้องเป็นอย่างนี้” แล้วเดินไปลงลิฟต์ พร้อมอ้างว่า “เขาแกล้งผมมาตั้ง 5-6 ปีแล้ว ผมเคยบอกแม่บ้านไปแล้วว่าให้เขาหยุดเขาก็ไม่หยุด”

 

จากนั้นช่วงที่ตำรวจได้นำตัวนายแซมลงมาจากคอนโด เจ้าตัวเปิดเผยอีกครั้งว่า “ผมถูกกลั่นแกล้ง ถูกด่าทอ ด่าถึงแม่ และเขาบอกจะฆ่าผม ผมไม่รู้เขามีเหตุผลอะไร ก่อนหน้านี้เคยไปบอกแม่บ้านแล้วว่ามี 2 ห้องที่รุมผม ช่วงวันเสาร์เขาจะตั้งวงกินเหล้ากัน ตั้งวงด่าผม ด่าทุกอย่าง” ทีมข่าวจึงย้ำว่าแสดงว่าวันนี้เราเสียใจใช่หรือไม่ เจ้าตัว ตอบย้ำว่า “เสียใจครับ”

 

โดยขณะที่สื่อมวลชนให้โอกาสผู้ต้องหาได้มีโอกาสพูดกับสื่อมวลชนเป็นครั้งสุดท้ายอยู่นั้น ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนชุดทำคดีนี้ ได้เข้ามาโวยวายว่า โดยอ้างว่าสื่อมวลชนไม่มีจรรยาบรรณในการนำเสนอ เพราะคนตายพูดไม่ได้ จนกระทั่งต้องยกเลิกจุกทำแผนจุดที่ 2 ซึ่งเป็นจุดหน้าคอนโด ช่วงจังหวะขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี

 

ขณะที่ พลตำรวจโทจิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคหนึ่ง ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้นผู้ต้องหาอ้างว่า มีการทะเลาะกับผู้ตายมานานหลายปี ซึ่งก่อนวันเกิดเหตุผู้ตายได้ไปด่าทอกับภรรยาของผู้ก่อเหตุ จึงทำให้ผู้ก่อเหตุหมดความอดทน จึงได้วางแผนฆ่าผู้เสียชีวิต และผู้ก่อเหตุนั้นรู้กิจวัตรประจำวันของผู้ตาย ว่าจะลงมาทิ้งขยะตอนเวลา6 โมงเช้าเป็นประจำ

 

ในส่วนของอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ คือ จุดสามแปดลูกโม่ ซึ่งผู้ต้องหามีครอบครองมานาน 2-3 ปีแล้ว โดยเป็นปืนที่ไม่มีใบอนุญาตและผู้ก่อเหตุทำงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย จึงสามารถหาอาวุธปืนเถื่อนมาครอบครองได้

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง เป็นเรื่องของสุนัขจริงหรือไม่ พลตำรวจโทจิรสันต์ ระบุว่า ผู้ก่อเหตุอ้างว่าไม่ได้เกี่ยวในเรื่องนี้ เพราะสาเหตุจริงๆ คือหมดความอดทน และปัญหาที่สะสมไว้มานาน จึงเตรียมการก่อเหตุ

 

และหลังจากก่อเหตุ ผู้ก่อเหตุได้เดินทางหลบหนีไปอยู่ที่ลานไก่ชน ซึ่งเป็นบ้านเพื่อน ย่านบางขุนเทียน โดยผู้ก่อเหตุเคยซื้อขายไก่อยู่ที่นั่น จึงได้ไปตั้งหลักกับคนที่รู้จักอยู่ที่

 

ส่วนประเด็นเรื่องอาการป่วยของผู้ก่อเหตุที่ภรรยาอ้างกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าสามีป่วยโรคซึมเศร้า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ก็ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว แต่อาจจะมีส่วนแต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง

 

ซึ่งคำให้การทั้งหมดของผู้ต้องหาเป็นเพียงคำกล่าวอ้างหลัง ของผู้ต้องหาเพียงฝ่ายเดียวเพราะผู้ตายไม่สามารถที่จะพูดได้แล้ว จากนี้เจ้าหน้าที่จะต้องทำการสืบสวนสอบสวน เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไปโดยมีการแจ้ง 2 ข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยการไตร่ตรองไว้ก่อน และความผิดความ พ.ร.บ.อาวุธปืน

 

ไทม์ไลน์ช่วงเวลาเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ มือถือ เดินผ่านศพ 3 รอบ ดูผลงาน ก่อนหนี

 

วันที่ 29 เม ย. 67

06.07 ก่อเหตุ นายนารินทร์ยิงนายคงชัย , หลังยิงเดินผ่านนายคงชัย ลงไปชั้นล่าง หันไปมองคนตาย (ผ่านรอบ1)

06:10 มีคนในตึก เดินมาเห็นคนตาย และรปภ.ขึ้นมาดูศพ + รปภ. มาถ่ายรูป

06:13 เมียวิ่งมาดู +เมียปั๊มหัวใจผัว

06:17 นายนารินทร์คนก่อเหตุกลับขึ้นมาที่ชั้น 9 ผ่านจุดที่เมียกำลังปั๊มหัวใจผัว หันไปมองแล้วเดินผ่าน (ผ่านรอบ2)

06:24 คนก่อเหตุกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ถือหมวกกันน็อกเดินมาที่ลิฟต์ ยืนมองเมียปั๊มหัวใจผัว (ผ่านรอบ3)

06.25 นายนารินทร์ คนก่อเหตุ ลงลิฟต์หนี

06.27 นายนารินทร์ คนก่อเหตุ ขี่จยย.หนี สวนทางสายตรวจ

06:27 รปภ.ช่วยปั๊มหัวใจ

06:29 ตำรวจสายตรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ // คุยกับเมียคนตาย // ตำรวจกั้น police line

07:58 พฐ.เข้าพื้นที่เกิดเหตุ

09:08 กู้ภัยเอาศพออก

 

เมื่อช่วง 14:00 น. ที่ผ่านมาทางครอบครัวได้มีการไปรับร่างของนายคงชัย หรือเนตร คนตาย ออกจากสถาบันนิติเวช มาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบัวขวัญ ซึ่งติดกับคอนโดที่เกิดเหตุ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า แล้วจะมีพิธีรดน้ำศพในเย็นวันเดียวกันนี้

 

ด้านนางสาวลัก ภรรยาคนตาย เผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยอมรับว่าเป็นเรื่อง“หมา หมา” ซึ่งก็ไม่คิดว่าถึงขั้นยิงกันตายแบบนี้เพราะเนื่องจากสามีของตนเองไม่เคยมีเรื่องมาก่อน แต่ก่อนที่จะเกิด สามีได้ขึ้นลิฟต์ และเผอิญไปเจอกับนายนารินทร์มือปืน โดยได้มีการเตือนกันในลิฟต์ ทำนองว่าหมาส่งเสียงดังและมีการตะกุยฝาห้อง ส่งเสียงดังดังทำให้วันหยุดนอนไม่ได้ อยากให้ย้ายหมาไปเลี้ยงที่อื่นเพราะเนื่องจากหมาโตและกำลังซน แต่ในการพูดคุยกันในลิฟต์นั้นก็ไม่ได้มีเรื่องรุนแรง เพราะหลังจากที่สามีได้มีการเตือนมือปืนแล้ว กลับมาห้องก็ยังบอกตนเองว่า “ พี่คุยกับเขาแล้วนะ” จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่สามีออกไปทิ้งขยะ ก็ถูกดักยิงระหว่างทางเชื่อม ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นจึงมีเพียงแค่เรื่องเตือนเกี่ยวกับการเลี้ยงหมา และไม่มีเรื่องอื่นเจือปนอย่างแน่นอน และที่สำคัญในฐานะที่เป็นเพื่อนข้างห้องและมีห้องติดกัน ก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องอื่นหรือทะเลาะอะไรกัน มีแต่เรื่องที่สามีของตนเองไปเตือนเรื่องการเลี้ยงหมา จึงทำให้เกิดเป็นเหตุการณ์นี้ขึ้น

 

และจากภาพกล้องวงจรปิด ที่จับภาพหลังจากที่มือปืนยิงสามีตนเองตายแล้ว มีการเดินผ่านร่างของสามีนอนจมกองเลือด แล้วหันมองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นได้เดินผ่านอีกรอบเป็นครั้งที่ 2 ตอนที่ตนเองกำลังช่วยยื้อชีวิตและปั๊มหัวใจให้สามี ก็มีการหันมามองและเดินผ่านเหมือนไม่มีเยื่อใย รวมทั้งมีการผ่านครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังจะหลบหนี และสังเกตว่าตอนที่มีการกดลิฟต์ลงไปนั้นมีการหันมามอง พฤติกรรมทั้งหมดตนเองก็ไม่ทันได้สังเกตเพราะเนื่องจากพยามช่วยยื้อชีวิตสามีอยู่ แต่จากภาพที่ปรากฏแล้วก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็คิดในใจว่า คนเราตั้งใจยิงไม่ใช่เพียงแค่ 1 นัดเจ็บ แต่ยิงซ้ำจนตาย และโดนจุดสำคัญ คงไม่มีใจที่จะมาช่วยเหลือหรือมาดู ก็คงทำได้แต่เดินผ่าน เพื่อสมน้ำหน้าหรือไม่

 

ส่วนกรณีที่ปรากฏข่าวทำนองว่าห้องของตนเองเลี้ยงสุนัขพันธุ์พันธุ์เล็ก ชิวาวากับพันธุ์ปอม แล้วห้องของคู่กรณีเลี้ยงหมาพันธุ์อเมริกันบูลด็อก ลักษณะคล้ายพิตบูลนั้น ตนเองทราบว่าบ้านของมือปืนมีการเลี้ยงหมาจริง แต่ไม่รู้ว่ามีการเลี้ยงเอาไว้กี่ตัว ซึ่งทุกครั้งที่เป็นวันหยุด หรือเวลาที่อยู่ห้อง ก็จะได้ยินเสียงหมาของมือปืนมีการตะกุยฝาผนังและประตูส่งเสียงดัง แต่สำหรับห้องของตนเอง ยืนยันว่าไม่มีการเลี้ยงหมา เนื่องจากมีการปฏิบัติตามระเบียบของคอนโดอย่างดี และภายในห้องก็ไม่มีหมาแม้แต่ตัวเดียว ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องของหมากับหมา แต่เป็นเรื่องเลี้ยงหมาของบ้านมือปืนจนเป็นเหตุ

 

ทั้งนี้ ยังมีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่าสามีของตนเองเป็นอดีตพนักงานของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่ง ส่วนตัวอยากจะชี้แจงกับสังคมว่า ปัจจุบันสามีก็ยังเป็นพนักงานอยู่ แต่ช่วงวันหยุดหรือวันเสาร์อาทิตย์ หรือเวรวันหยุด ก็จะพักผ่อนอยู่ที่ห้อง และทุกครั้งที่พักผ่อนอยู่ที่ห้องก็มักจะเจอกับปัญหาเดิมคือหมาของมือปืนตะกุยห้องเสียงดัง จึงเป็นที่มาของการต้องคุยกันในขณะที่เจอกันในลิฟต์เท่านั้น และทุกครั้งสามีของตนเองก็ออกไปทำงานโรงแรมด้วยกัน แต่เพียงแค่คนละโรงแรมเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ตัวเองทราบว่าขณะที่กำลังมีการรับรับร่างของสามีมาตั้งบำเพ็ญกุล และกำลังพาร่างมาที่วัดบัวขวัญ พบเห็นรถตู้ของมือปืน ซึ่งตำรวจพึ่งไปจับกุมมาได้เมื่อเช้านี้ เอามาจอดรออยู่ในวัด ก่อนที่จะพาไปทำแผนประกอบรับคำสารภาพ เองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะพาผู้ต้องหามาอยู่วัดเดียวกันกับที่กำลังจะพาศพสามีมาตั้ง และที่สำคัญ ตนเองยืนยันว่าจะไม่มีการอโหสิกรรมให้อย่างแน่นอน เพราะเนื่องจากหากคนเราสำนึกคงไม่ทำแบบนี้หรือยิงกันจนตาย อย่างน้อยคุยกันหรือยิงแค่เจ็บก็ยังพอทำใจทน โดยหลังจากนี้ก็ให้ว่าไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ตนเองอยากจะย้อนถามว่า มีเหตุผลอะไรที่ลึกไปกว่าเรื่องหมาหมา หรือไม่ ที่แค้นฝังใจถึงขั้นยิงกันตายแบบนี้

 

และระหว่างนั้น ทราบว่าได้มีกระทรวงยุติธรรม ได้มีการเดินทางมาพูดคุยกับทางครอบครัวและเตรียมมอบเงินเยียวยา ให้กับทางครอบครัวและภรรยาของคนตาย หลังถูกยิงเสียชีวิตเพราะด้วยเหตุอุกฉกรรจ์ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของการเยียวยาของหน่วยงานภาครัฐ

 

ขณะที่ นางติ๋ม อายุ 73 ปี แม่ของคนตาย ได้เดินทางมาที่วัดบัวขวัญ หลังจากที่มีการรับร่างของลูกมาเพื่อที่เตรียมประกอบพิธีรดน้ำศพในช่วงเย็นวันนี้ โดยช่วงที่แม่เดินทางมาถึงศาลาตั้งศพ ได้ยืนเหม่อลอยอยู่บริเวณหน้ากระถางธูป พร้อมกับมีการพูดทำนองว่า “เนตรเอ๊ย ทำไมต้องเป็นมึง แม่ทำใจไม่ได้” ก่อนที่แม่จะอยู่ในการเสียใจและร้องไห้ พร้อมกับมีการไปจุดธูป บอกกล่าวดวงวิญญาณของลูกก่อนที่จะปักลงไปในกระถางธูป และเข้าไปนั่งภายในศาลา เพื่อรอประกอบพิธีรดน้ำศพ

 

ภายหลังนางติ๋ม แม่ของคนตาย อาการดีขึ้นหลังจากที่เสียใจหนัก ได้เปิดใจกับทีมข่าวช่องแปด ว่า ตนเองรับไม่ได้ที่เรื่องหมาๆ ถึงขั้นเอาชีวิตลูกชายตัวเองไปแบบนี้ ทำไมถึงไม่คุยกัน ทำไมถึงไม่เจรจากัน หรือมันมีอะไรมากไปกว่านั้นหรือไม่ เพราะตนเองทราบว่าในวันก่อนเกิดเหตุ ลูกชายขึ้นลิฟต์และเผอิญเจอกับมือปืน ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกันในลิฟต์เกี่ยวกับเรื่องของการเลี้ยงหมาห้องติดกัน โดยมือปืนมีการสอบถามลูกชายทำนองว่า “แล้วพี่มีปัญหาอะไร” ซึ่งลูกชายก็ตอบไปทำนองว่า “ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่อยากให้มีการจัดการเรื่องหมา” โดยวันนั้นลูกชายก็เล่าให้ฟังซึ่งก็ไม่มีชนวนเหตุ ถึงขั้นรุนแรงหรือทะเลาะมีปากเสียงอะไรกันด้วยซ้ำ แต่ทำไมวันรุ่งขึ้นถึงมาดักยิงกันตายแบบนั้น

 

และทราบว่าวันนี้มีการจับกุมตัวของมือปืนได้แล้ว ส่วนตัวก็ขอให้ตัวของมันได้รับโทษและชดใช้เวรกรรมตามที่ก่อเอาไว้ และไม่ต้องพามาขออโหสิกรรม เพราะตนเองไม่รับ ไปติดคุกชดใช้ตามเวรกรรมที่ทำเอาไว้ และสิ่งที่ตนเองรับไม่ได้คือพฤติกรรมของมือปืน หลังจากยิงแล้วทำไมถึงเดินวนไปมา ลักษณะเดินดู แต่ไม่สำนึกผิด ก่อนที่จะหลบหนี

 

ต่อมาทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังซอย พระราม 2 ซอย 28 หรือซอยโรงลัง ซึ่งเป็นจุดที่ นายแซม ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุยิงเพื่อนบ้านในคอนโดย่านจังหวัดนนทบุรีเสียชีวิตแล้วหลบหนีมาซ่อนตัวจนกระทั่งช่วงเช้าตำรวจจึงได้เข้าจับกุมตัวที่บ้านของเพื่อนที่อยู่ในซอยแห่งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าบ้านที่นายแซมมาขอความช่วยเหลือ เพื่อตั้งหลักหลังจากก่อเหตุแล้วพบว่าเป็นลักษณะบ้านและมีการเลี้ยงไก่ชน ภายในบ้านและทางเข้าเป็นซอกแคบๆ ที่เดินต่อจากถนนจากซอยเข้าไป

 

ทีมข่าวได้สอบถามนายโจ (นามสมมติ) อายุ 26 ปี เพื่อนของนายแซมที่เป็นเจ้าของบ้านเปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ช่วงประมาณเวลา 18:00 น. นายแซมได้ขี่รถจักรยานยนต์ มาหาตนเองด้วยอาการที่ดูเป็นปกติก่อนจะบอกกับตนเองว่ายิงคนตายมา ซึ่งที่บ้านรวมถึงแม่ตนเองก็ไม่มีใครเชื่อคิดว่าพูดเล่น แต่เมื่อข่าวได้ออกตนเองได้ที่บ้านถึงรู้ว่าเป็นเรื่องจริง นายแซมถึงได้ระบายกับตนเองว่า มีปัญหากับผู้ตายและถูกด่าทอเหยียดหยามศักดิ์ศรีมานานแล้ว จึงทนไม่ไหวตัดสินใจก่อเหตุยิงจนทำให้คู่กรณีเสียชีวิต

 

โดยนายแซม ได้บอกกับตนเองว่าได้ไปหาเพื่อน คนหนึ่งที่ย่านวัดสังข์กระจายเขตบางกอกน้อยซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ที่ชอบเลี้ยงไก่ชนซึ่งเพื่อนคนนั้นก็บอกให้มอบตัวแต่นายแซม ไม่เชื่อจึงได้เดินทางมาหาตนเองที่บ้าน ซึ่งนายแซม ยังบอกกับตนเองว่าไปฆ่าคนอื่นเขาตายมาอยากจะยิงตัวตายเพื่อฆ่าตัวตายตามไปให้จบสิ้นปัญหาเพราะไม่อยากถูกจับหรือถูกวิสามัญ ซึ่งตนเองจึงพยายามพูดเกลี้ยกล่อม ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนถึง 05:00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตนเองจึงให้นายแซมไปนอนพักผ่อน แต่นอนประมาณ 3 ชั่วโมง นายแซมก็ตื่นขึ้นมา ตนเองก็ยังพูดพยายามเกลี้ยกล่อมให้มอบตัวอีก

 

จนกระทั่งในช่วงเวลา 11:00 น. ของวันนี้ มีชาวบ้านในซอยมาบอกว่ามีตำรวจมาติดตามตัวนายแซม ถึงบอกกับตนเองว่าจะยอมมอบตัวตนเองจึงได้โทรศัพท์ไปหาภรรยาของนายแซม เพื่อให้ติดต่อกลับชุดจับกลุ่มว่าผู้ต้องหาหลบอยู่ในบ้านของตนเองให้มานำตัวไปดำเนินคดีเพราะผู้ต้องหายินยอมที่จะมอบตัว ซึ่งเมื่อตำรวจเข้ามาถึงในบ้านของตนเอง นายแซมก็ ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวแต่โดยดีพร้อมกับนำอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุวางไว้ที่โต๊ะเพื่อมอบเป็นของกลาง ให้กับตำรวจก่อนจะถูกควบคุมตัวไปดำเนินคดี

 

ตนเองยอมรับว่า นายแซม ปกติจะเป็นคนที่มีน้ำใจและเป็นคนดีแต่เชื่อว่าเกิดเพราะความกดดันอะไรบางอย่างจึงทำให้ก่อเหตุ และตลอดเวลาที่มาหาตนเองยืนยันว่า นายแซมมีอาการปกติและมีสติดีทุกอย่างถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยรักษาโรคอาการทางจิตมาบ้างก็ตาม

ล็อก "ไอ้แซม" ปืนโหดยิงเพื่อนบ้าน วนดูศพ 3 รอบ ด่า"ปากดีต้องเจอแบบนี้"