เอกสารหลุด "บิ๊กโจ๊ก" ขอเปลี่ยนตัว กรรมการ ป.ป.ช. เหตุโกรธเคืองส่วนตัว หวั่นถูกกลั่นแกล้ง

กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันทีที่มีเอกสารหลุดออกมาปรากฏเนื้อหาซึ่งเป็นสาเหตุให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร้องขอเปลี่ยนตัวหนึ่งในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ด้วยเหตุผลความโกรธเคืองส่วนตัว

ทั้งนี้เนื้อหาในเอกสาร มีการระบุว่า ขอคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของหนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช. และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่

โดยไทมไลน์เรื่องราวความโกรธเคืองส่วนตัวนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2562 มีการสรรหาบุคคลให้เข้ามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีการนัดหมายจากบุคคลรายหนึ่ง ที่รู้จักผ่านทางเพื่อนร่วมรุ่นหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 58 (วปอ. 58) โดยต้องการเข้ามานั่งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. แต่ด้วยคุณสมบัติด้อยกว่า เมื่อเทียบกับผู้ถูกเสนอชื่อเข้ามาอีกราย จึงได้มาขอให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ช่วยเหลือ โดยนัดพบกันที่คอนโด ย่านถนนวิทยุ เพื่อร้องขอให้พาเข้าพบ พล.อ. "ป" ช่วยสนับสนุนการสรรหาให้เข้าไปนั่งเป็นกรรมการ ป.ป.ช.

แม้ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะไม่แน่ใจว่า ถ้าเข้าพบกับ พล.อ. "ป" จะช่วยให้สมหวังได้หรือไม่ แต่ก็รับปากบุคคลรายนี้ จะพาเข้าไปพบกับ พล.อ. "ป." ให้

เมื่อไปถึงสถานที่พักของ พล.อ. "ป." ได้บอกให้บุคคลรายนี้ ยืนรออยู่นอกห้อง จากนั้นพล.อ.สุรเชษฐ์ ได้เข้าไปอธิบายเหตุผลในการขอความช่วยเหลือ จากนั้นจึงได้รับอนุญาตเข้าพบ ซึ่งทาง พล.อ. "ป." ถามกับบุคคลรายนี้ตรงๆว่า "อยากเป็นกรรมการ ป.ป.ช. หรือ" ก็ได้รับคำตอบชัดเจนกลับมาว่า "ครับ ขออนุญาตมารับใช้ท่าน"

เนื้อหาในเอกสารระบุอีกว่า แม้ พล.อ. "ป." จะไม่ได้รับปากว่าช่วยเหลือได้หรือไม่ แต่บอกเพียงว่า "งั้นไปสมัครมา"

สุดท้ายบุคคลรายนี้ได้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. สมใจ จึงขอให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พาเข้าพบ พล.อ. "ป." อีกครั้งเพื่อกราบขอบคุณ ทั้งยังบอกอีกว่า พร้อมรับใช้มีอะไรให้สั่งผ่าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ทันที

ทว่า ความโกรธเคืองปะทุขึ้นเมื่อ กรรมการ ป.ป.ช.รายนี้ เข้ามาหาพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และแจ้งว่า ถูกร้องเรียน จากที่ปรึกษากรรมการ ป.ป.ช. จึงอยากให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้เส้นสายหยุดการร้องเรียนให้ด้วย แต่เมื่อพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สอบถามไปยังที่ปรึกษาป.ป.ช. คนนี้ ได้คำตอบว่า ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เป็นคนร้องเรียน แต่กรรมการ ป.ป.ช.รายนี้ ไม่เชื่อคำพูด ทั้งยังต่อว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ยอมให้การช่วยเหลือ

จากนั้นไม่นาน กรรมการป.ป.ช. รายนี้ ยังเข้ามาพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อีกครั้งและบอกว่า ยังถูกร้องเรียนเรื่องเดิมอยู่เลย ไม่จบเสียที จึงบอกให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ช่วยยับยั้งเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อีกครั้ง และอ้างอีกว่า จะช่วยเหลือคดีที่ พล.อ. "ป." ที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. ซึ่งพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ตอบกลับไปว่า จะช่วยหยุดได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีหลักฐานว่าที่ปรึกษา กรรมการ ป.ป.ช. คนนี้เป็นคนทำจริงๆ ก็ยิ่งทำให้กรรมการ ป.ป.ช. แสดงอาการไม่พอใจออกมา และขู่ว่า "พี่โจ๊ก อย่ามีเรื่องมาพึ่งผมบ้างก็แล้วกัน" จากนั้นต่างคนต่างแยกย้าย

ในเนื้อหาเอกสารยังระบุอีกว่า ช่วงเดือนมี.ค. 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ให้ข่าวกับสื่อมวลชนถึงคุณสมบัติการเป็นกรรมการ ป.ป.ช. รายนี้ ว่ามีการใช้อำนาจแทรกแซง ช่วยเหลือผู้กระทำผิดในคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ยิ่งสร้างความโกรธเคืองมากขึ้นไปอีก โดยมีการโทรศัพท์จากกรรมการ ป.ป.ช. มาต่อว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่าอยู่เบื้องหลัง พูดจาด้วยนำเสียงแสดงความอาฆาตมาดร้าย และพูดอีกว่า "อย่าให้มีเรื่องกล่าวหาพี่มาถึงผมนะ ผมฟันไม่เลี้ยง"

จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตัดสินใจยื่นคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ กรรมการ ป.ป.ช. รายนี้ ที่กำลังพิจารณาหรือวินิจฉัยเรื่องกล่าวหาพล.ต.อ.สุรเชษบ์ กับพวกตามที่ปรากฏเป็นข่าวในขณะนี้ ว่ามีสาเหตุโกรธเคืองส่วนตัว ทั้งยังเป็นบุคคลที่มีประวัติ และพฤติกรรมที่เหมาะสมในหารปฏิบัติหน้าที่ กรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่ และขอให้ส่งเรื่องคัดค้านนี้ ไปให้รัฐสภาดำเนินการตรวจสอบตามกฏหมายต่อไป

ด้าน นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า มีเอกสารของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มาถึง ป.ป.ช.จริง แต่ไม่ยืนยันว่าเป็นเอกสารฉบับเดียวกันหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้จะนำเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา เนื่องจากเป็นการคัดค้านกรรมการ ป.ป.ช.

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่จะพิจารณาว่า มีข้อเท็จจริงหรือไม่และเป็นอย่างไร อยู่ในอำนาจหน้าที่หรือไม่ เหตุของการคัดค้านเป็นไปตามระเบียบหรือไม่ รวมถึงการพิจารณาในข้อกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า วันที่ 22 เม.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะเดินทางมายื่นพยานหลักฐานต่อ กรรมการ ป.ป.ช. ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ รวมถึงจะไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการ และจะยื่นฟ้องกลับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วย