กรณีนายต้อย ได้โกหกสังคม หลังไปก่อเหตุลักทรัพย์แล้วญาติถูกวิสามัญนั้น

วันนี้ 14 เมษายน 2567 ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังสภ. เขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยในช่วงเช้าของวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสอบปากคำนายต้อย ผู้ต้องหา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งตอนสอบปากคำนายต้อย เจ้าตัวก็มีสีหน้าเรียบเฉย

 

จากนั้นเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้คุมตัวนายต้อย มาฝากขัง พอนายต้อย เจอผู้สื่อข่าว เจ้าตัวก็ยกมือขอโทษว่า “ผมอยากขอโทษสังคม ผมพลาดไปแล้วครับ ตัวเองไม่ได้วางแผนในการกุเรื่องขึ้นมาแต่อย่างใด ส่วนที่ตัวเองไปก่อเหตุลักทรัพย์ที่โรงงานดังกล่าวนั้นเป็นครั้งที่ 2 ขอยืนยันว่าไปก่อเหตุ 2 คน ไม่มีคนอื่นร่วมขบวนการ” และนายต้อย ก็อยากบอกถึงนายอำพล ผู้เสียชีวิตว่า “ผมขอโทษนะพี่ ที่พาพี่ไปโดนยิง”

หลังจากนายต้อย ขึ้นไปบนรถคุมขังแล้ว ได้มีภรรยาของนายต้อย มายืนเกาะกรงเหล็กของรถคุมขัง ก่อนจะใช้มือลูบคลำที่รถ แล้วพูดคุยเพื่อร่ำลากัน ซึ่งนายต้อย บอกภรรยาและลูกๆว่า “นานนะ กว่าพ่อจะกลับมา ดูแลตัวเอง ดูแลแม่ด้วยเด้อ พ่อคิดถึงนะ พ่อพลาดไปแล้ว ออกมาพ่อจะทำตัวให้ดีที่สุด“ จากนั้นภรรยาของต้อย ก็บอกต้อยว่า “อดทนไว้นะ”

 

ด้านนางสุ นามสมมติ ภรรยาของนายต้อย ให้สัมภาษณ์หลังร่ำลากับสามีว่า ตัวเองรู้สึกเสียใจ หลังสามีกุเรื่องหลอกสังคม ยืนยันว่าตัวเองได้รู้เห็นกับสามี และไม่ได้รู้เรื่องที่สามีก่อเหตุลักทรัพย์มาก่อน เพราะที่ผ่านมา สามีก็ใช้ชีวิตปกติทั่วไป และเห็นแต่สามีมีแต่ไปเก็บไม้ หาไม้ ตอนที่ตัวเองคุยกับสามีขณะฝากขัง เขาได้บอกกับตัวเองให้ดูแลลูกๆ และพาลูกๆไปเยี่ยมเขาบ้าง

ตัวเองยืนยันว่าสามีไม่เคยมีประวัติลักทรัพย์มาก่อน ส่วนเรื่องที่สามีไปขนท่อตามกล้องวงจนปิดนั้น ตัวเองก็ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ส่วนเรื่องประกันตัว ตัวเองคงไม่มีเงินหรือหลักทรัพย์ที่จะไปประกันตัว

นางสุ บอกทีมข่าวต่อว่า ตัวเองยังติดใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะสามีและผู้ตายแค่ไปลักทรัพย์ ทำไมต้องถึงขั้นยิงปืนใส่ผู้ตายด้วย ทำไมไม่ยิงขึ้นฟ้า หรือมาจับกุมไปดำเนินคดี อยากถามว่าตำรวจทำเกินกว่าเหตุไปไหมคะ? หากจะบอกว่า คนตายยิงต่อสู้ก่อน ก็อยากให้ตำรวจเอากล้องที่บันทึกภาพ หรือหลักฐานออกมาให้ครอบครัวคนตายดูบ้าง ทางตัวเองจะได้หายข้องใจ

 

ขณะเดียวกัน วงจรปิดที่ร้านค้าในวันที่ 9 เมษายน เวลา 17.36 น. ที่สังคมสงสัยว่า เวลาเกิดเหตุ ตัวนายอำพล อยู่ที่ร้านค้าและนายสมพงศ์ ไปในที่เกิดเหตุคนเดียวหรือไปกับคนอื่น

วันนี้เพื่อให้สิ้นความสงสัย ทีมข่าวไปตรวจสอบมาโดยการไปเทียบเวลาในกล้องวงจรปิด พบว่า ความจริงก็คือเวลากล้องวงจรปิดในร้านค้าเร็วกว่าเวลาจริง 46 นาที ซึ่งถ้าหักลบเวลา เท่ากับว่าวันที่ 9 เมษายน นายอำพล เข้ามาซื้อเหล้าที่ร้านค้าในเวลา 16.50 น. จากนั้นก็กลับบ้านไปและนั่งรถออกไปกับนายสมพงศ์ ตามภาพวงจรปิดในเวลาที่ช่อง8 นำเสนอไปเมื่อวานนี้คือ 17.24 น.

ส่วนประเด็นต่อมา ที่นายสมพงศ์ ยังอ้างว่าท่อที่ขนขึ้นรถไปในวันที่ 6 เมษายน บังเอิญไปเจอมาในป่าใกล้กับโรงงาน ซึ่งคำพูดนี้ นายสมพงศ์ พูดต่อหน้านายเอกภพ ที่โรงพัก และเพื่อจะให้สิ้นความสงสัย หลักฐานอีกชิ้นที่ทีมข่าวได้มา จะเป็นภาพท่อขนาดเดียวกันและสีเดียวกันที่นายสมพงศ์ กับนายอำพล ขนขึ้นรถ เป็นท่อที่ถูกตัดออกไปจากโรงงาน ซึ่งท่อดังกล่าว มีขนาดที่สามารถรอดใต้กำแพงที่นายสมพงศ์ ขุดดินเอาไว้เพื่อนำท่ออกมาจากโรงงาน

 

ทีมข่าวช่อง 8 ได้กล้องวงจรปิด ที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่ง ก่อนถึงโกดังที่นายต้อยและนายอำพล ไปขายของกลางประมาณ 300 เมตร เป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2567

กล้องตัวที่ 1 มุมหน้าร้านเวลา 13.56.55 น. นายต้อยขับรถกระบะมาจอดที่ร้านขายของชำ ก่อนที่นายต้อยจะเดินเข้าไปในร้าน

กล้องตัวที่ 2 มุมหน้าร้านเวลา 13.57.18 น. นายต้อย เดินลงจากรถเข้าไปในร้านร้านขายของชำ ซึ่งสังเกตเห็นขาและเท้าของนายอำพล ที่นั่งอยู่บนท่อภายในกระบะ และเวลา 13.58.32 นายต้อย เดินออกจากร้าน และเอาเครื่องดื่มมาให้กับนายอำพล ที่นั่งท้ายกระบะ

กล้องตัวที่ 3 มุมในร้าน เวลา 13.57.25 น. นายต้อย เดินมาเลือกซื้อของในร้านชำ และเวลานี้ จะได้ยินเสียงนายตุ้ม เจ้าของร้านชำถามนายต้อยว่า “ไปเอาท่อมาจากไหนเยอะแยะ” จากนั้นนายต้อย ก็ตอบไปว่า ไปหามาจากเขาทิ้งข้างทาง

 

กล้องตัวที่ 4 มุมหน้าเคาท์เตอร์ จะเห็นว่า 13.58.03 น. นายต้อย ได้เดินมาจ่ายเงินและพูดคุยกับเจ้าของร้านหน้าเคาท์เตอร์ ก่อนที่จะเดินออกจากร้าน

จากนั้น หากเรียงภาพกลับไปกล้องตัวที่ 1 และ 2 มุมหน้าร้าน 13.59.09 น. ก็จะจะเห็นนายต้อย ขับรถมุ่งหน้าไป โกดังรับซื้อของเก่า ที่อยู่ห่างจากนี้ไปประมาณ 300 เมตร

ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายตุ้ม นามสมมติ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ตัวเองเห็นนายต้อย ขนท่อสีดำขนาดใหญ่จำนวนหลายท่อ มาจอดที่หน้าร้านของตัวเอง ซึ่งในรถก็มีคนที่นั่งมากับนายต้อยด้วยหนึ่งคน ก่อนที่นายต้อยจะลงมาซื้อน้ำอ้อยจำนวนสองขวดที่ร้าน ตอนนั้นตัวเองก็ทักทายนายต้อยว่า “ไปขนของมาจากไหนเยอะแยะ” นายต้อยก็บอกว่า “ผมไปเก็บของเก่าที่เขาทิ้งมาครับ เลยจะเอาไปขาย” ตอนนั้นตัวเองก็เชื่อในสิ่งที่เขาพูด จากนั้นนายต้อยก็เดินไปขับรถ ซึ่งขับมุ่งหน้าไปขายของเก่าที่โกดังแห่งหนึ่งในพื้นที่ของตัวเอง

 

ทีมข่าวสอบถามนายตุ้มต่อว่า ที่ผ่านมาเคยเห็นนายต้อยขับกระบะมาขายสินค้าในพื้นที่แห่งนี้บ่อยหรือไม่ นายตุ้ม ก็ตอบว่า เห็นนานๆครั้ง ซึ่งพอมาทราบข่าวที่ไหนต้อยไปโกหกสังคม ตัวเองก็ยอมรับว่ารู้สึกตกใจมาก

ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังวัดลำมหาชัย อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งศพของนายอำพลผู้เสียชีวิต

ขณะที่ทีมข่าวเดินทางมาถึงวัดในช่วงบ่ายของวันนี้ เพราะว่าทางครอบครัวได้ทำพิธีฝังหลอก โดยการดำรงศพของผู้เสียชีวิตมาวางที่พื้นอยู่ข้างเมรุ เนื่องจาก นายอำพล ได้เสียชีวิตแบบตายโหง ทางครอบครัวจะมีการฝังหลอก พอเสร็จพิธี ทางพระสงฆ์และญาติ ได้นำศพของผู้เสียชีวิตไปเวียนรอบเมรุ จำนวน 3 รอบ ก่อนจะเอาโลงศพไปตั้งบนเมรุเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาการเผาต่อไป

จากนั้นทีมข่าวได้พูดคุยกับนายสุพจน์ อายุ 52 ปี พี่ชายของผู้เสียชีวิต ให้สัมภาษณ์ว่า แต่ตอนนี้ตัวเองก็ติดใจ ในขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตัวเองก็ไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อไปมากกว่านี้แล้ว อยากให้จบเพียงเท่านี้ เพราะจบของน้องชายก็จะเผาวันนี้แล้ว

ส่วนตัวส่วนตัวไม่ทราบเกี่ยวกับพฤติกรรมการลักทรัพย์ ของน้องชาย เนื่องจากตัวเองอาศัยอยู่อยู่บ้านคนละหลังกัน ไม่รู้ว่า น้องชาย ไปที่ไหนกับนายต้อยมาบ้าง ในแต่ละวัน แล้วตัวเองก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอาวุธปืน ว่าน้องชายมีอาวุธปืนหรือไม่

 

ยอมรับว่าตกใจที่นายต้อยกรุเรื่องทั้งหมดหลอกประชาชน ซึ่งตอนนี้นายต้อยก็ได้รับสารภาพแล้ว ตัวเองก็ให้อภัยเขา และอยากให้ดวงวิญญาณของน้องชายไปสู่สุคติ

ทางเพจสายไหมต้องรอด ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความขอโทษ สภ.เขาหินซ้อน โดยมีข้อความว่า

ทาง #เพจสายไหมต้องรอด ต้องกราบขอโทษท่านผู้กำกับ สภ.เขาหินซ้อน และตำรวจทุกท่านที่เกี่ยวข้องจาก #กรณี วิสามัญโจรขโมยสายไฟ พื้นที่ สภ.เขาหินซ้อน ที่ได้ไปออกรายการเมื่อวันก่อน

  1. เริ่มจากวันที่ 10 เม.ย.67 ญาติคนตายพานายต้อยมาขอความช่วยเหลือจาก #เพจสายไหมต้องรอด ญาติพี่น้องอ้างว่าคนตายไม่ได้เป็นโจรตามข่าว คนตายเพียงแค่ไปเก็บไม้กับนายต้อย มาเผาถ่านเท่านั้น
  2. จากการสอบถามนายต้อยอ้างว่าไม่มีปืน ไม่ได้ยิงต่อสู้กับตำรวจตามที่เป็นข่าว หลังรับข้อมูลเราจึงได้นำตัวนายต้อย ไปตรวจหาหลักฐานต่างๆทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และนำตัวนายต้อยไปสอบปากคำ
  3. ระหว่างรอผลตรวจเราได้ประสานงานกับ พี่โป้ง ทีมข่าวช่อง 8 เพื่อร่วมกันหาข้อมูลและไล่กล้องวงจรปิดรอบๆที่เกิดเหตุ จนกระทั่งพบกล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐานสำคัญว่านายต้อยและผู้ตายได้เคยไปขโมยท่อจากโรงงาน เมื่อวันที่ 6 เม.ย.67 ซึ่งไม่ตรงกับที่นายต้อยกล่าวอ้างไว้ว่าไม่เคยไปที่โรงงานมาก่อนแต่อย่างใด
  4. เราจึงได้เค้นหาความจริงจากนายต้อยอีกครั้ง จนนายต้อยให้การรับสารภาพ เราจึงส่งตัวตายต้อยไปดำเนินคดีที่ สภ.เขาหินซ้อน และได้พูดคุยทำความเข้าใจ #พร้อมกล่าวขอโทษท่าน ผกก.สภ.เขาหินซ้อน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านเมตตาไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไร
  5. #เพจสายไหมต้องรอด ขอยืนยันว่าเราไม่ปกป้องคนผิด เคสไหนที่มาขอให้เราช่วยเหลือเมื่อเราตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้กระทำผิด เราส่งดำเนินคดีทุกราย
  6. #เพจสายไหมต้องรอด ยังคงตั้งใจช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมให้ได้รับความเป็นธรรม และขอน้อมรับทุกความคิดเห็นและคำติเพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานต่อไป

จุดจบโจรตัวจริง! จับ "แพะต้อย" ยัดคุกกุเรื่องยิงผิดตัว