จากเหตุการณ์ที่ นางสาวบี นามสมมติ อายุ 41 ปี ถูก นายอี๊ด เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันใช้อาวุธปืนยิงกระสุนถากบริเวณ ศีรษะได้รับบาดเจ็บ ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อช่วงเย็นของเมื่อวานที่ผ่านมา

 

วันนี้ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบริเวณจุดเกิดเหตุพบว่าบ้านสองหลังทั้งของคู่กรณีและผู้บาดเจ็บ เป็นลักษณะบ้านทาวน์เฮาส์อยู่ติดกันมีเพียงที่กลับรถส่วนกลางขั้นอยู่เพียงเท่านั้น ซึ่งจุดส่วนกลางดังกล่าวครึ่งหนึ่งมีการปรับเปลี่ยนเป็นที่ปลูกต้นไม้ และอีกครึ่งหนึ่งปล่อยว่างเป็นทางเดินเข้าไปแต่พบเห็นว่ามีการกั้นรั้วสีเขียวอยู่ด้านใน

 

ทีมข่าวได้พบกับ นางสาว ผึ้ง (นามสมมติ) อายุ 41 ปี ผู้เสียหายที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ มีบาดแผลจากคมกระสุนบริเวณหน้าผาก 1 จุด ส่วนบ้านคู่กรณีไม่พบว่ามีใครอยู่มีการล็อกกุญแจอยู่จากหน้าบ้าน นางสาวผึ้งเปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ช่วงเย็นตนกำลังรดน้ำต้นไม้ตามปกติเป็นกิจวัตรประจำวัน โดยขณะที่ยืนรดน้ำอยู่ภายในบ้าน ก็สังเกตเห็นนายอี๊ด ผู้ก่อเหตุ ออกมายืนสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้าน ซึ่งตนก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันอยู่แล้ว ก่อนที่นายอี๊ดจะเดิน ลักษณะเดินเข้ามาประชิดตนเองก่อนมาบอกกับตนเองว่าให้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นซึ่งตนเองก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรกับไป

 

หลังจากนายอี๊ด ได้เดินกลับเข้าไปในบ้านของของตัวเองและเดินออกมาอีกครั้งพร้อมถืออาวุธปืน ซึ่งตอนแรกตนเองยังไม่ทันสังเกตเห็น ว่าเป็นปืนปลอมหรือปืนจริง ตนเองจึงเดินเข้าไปในรั้วบ้าน จากนั้นผู้ก่อเหตุใช้ปืนประทับบ่าเล็งมาที่ตนเอง ตอนนั้นตนทำอะไรไม่ถูก เข้าใจว่าตอนนั้นแฟนของนายอี๊ด ผู้ก่อเหตุอยู่ในบ้าน จึงตะโกนเรียกให้ให้ออกมาช่วยห้ามและตนเองพยายามที่จะหยิบโทรศัพท์มาถ่ายบันทึกเหตุการณ์

 

แต่เพียงแค่เสี้ยววินาที นายอี๊ดได้ลั่นกระสุนใส่ตน 1 นัด แรงกระสุนทำให้ตนล้มลง ตนจึงพยายามที่จะวิ่งเข้าไปในบ้าน ปรากฏว่า นายอี๊ดเดินมาที่หน้าบ้านและยกปืนมาทับเล็งเข้ามาในบ้านตนเอง จึงหมอบหลบกระสุน ซึ่งผู้ก่อเหตุไม่ได้ยิงซ้ำมาอีกแต่เดินกลับเข้าไปในบ้านของตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

จากนั้นเมื่อตนแน่ใจว่านายอี๊ดกลับเข้าบ้านไปแล้ว จึงรีบสตาร์ทรถไปที่บ้านแม่แฟนที่อยู่ไม่ไกล โดยตอนนั้นตนเองรู้สึกเจ็บที่หน้าผากและรู้สึกได้ว่ามีเลือดออกที่หน้าผาก แต่ต้องการรีบออกจากพื้นที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุดก่อน เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย แล้วไปบอกเรื่องราวกับแม่แฟน โชคดีที่ข้างบ้านแม่แฟนเป็นบ้านของตำรวจคนหนึ่ง จึงได้บอกเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายตำรวจคนดังกล่าว โดยสังเกตเห็นว่านายอี๊ดยังคงเดินวนไปวนมาบริเวณหน้าบ้านตน

 

โดยแม่แฟนโมโหมาก จึงตะโกนไปว่าทำแบบนี้ทำไม นายอี๊ดก็ให้ตะโกนกลับมาว่า "ให้มาคุยที่หน้าบ้าน" นายตำรวจคนดังกล่าวจึงมาช่วย คลี่คลาย สถานการณ์ก่อนที่จะถามนายอี๊ดว่า "ต้องการเอาให้ตายหรอ" นายอี๊ดบอกว่า "ใช่ ต้องการจะเอาถึงตาย!!" หลังจากนั้นจึงได้แจ้งความให้ตำรวจมาช่วยจับกุมนายอี๊ด ผู้ก่อเหตุ และตนเองรีบไปทำแผลที่โรงพยาบาล

 

น.ส.ผึ้งระบุว่า ตอนนี้ตนยังมีความรู้สึกหวาดกลัว สภาพจิตใจยังย่ำแย่ ยังรู้สึกระแวงหากมีใครเดินเข้ามาใกล้ และยังรู้สึกงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งโชคดีที่กระสุนไม่ฝังที่ศีรษะ ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเอง คล้องพระพระหลวงปู่ทวด และพระพระพุทธชินราชติดตัวอยู่จึงทำให้ปลอดภัย

 

โดยที่ผ่านมา บ้านของตนเองก็ไม่เคยพูดคุยใด ๆ หรือทะเลาะวิวาทใด ๆ กับบ้านผู้ก่อเหตุมาก่อน แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีแต่ฝั่งนายอี๊ดที่พยายามจะมาหาเรื่องตน โดยเฉพาะช่วงที่แฟนของตนเองไปทำงาน ไม่อยู่บ้านและตนอยู่บ้านคนเดียว นายอี๊ดก็จะชอบมาพูดจาต่อว่าทำนองว่า ไล่ให้ตนออกจากบ้านเวลาที่ตนมายืนรดน้ำต้นไม้หน้าบ้านเป็นประจำ แต่ตนเองก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่อยากจะมีปัญหา ส่วนถ้าหากจะเป็นปัญหาเรื่องกลับที่ส่วนกลางซึ่งตนเองก็ยอมรับว่ามีการปลูกต้นไม้แต่ก็ไม่ได้ไปข้องเกี่ยวอะไรกับบ้านผู้ก่อเหตุ เพราะก็มีช่องทางเดินเข้าไปด้านหลังของบ้านผู้ก่อเหตุและผู้ก่อเหตุยังสร้างรั้วบริเวณด้านในเพื่อเป็นทางทะลุเข้าด้านหลังบ้านของผู้ก่อเหตุด้วย

 

หลังจากนี้ตนเองจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเพราะหากยังปล่อยไว้แบบนี้ตนเองอาจจะไม่ปลอดภัยเพราะ ตนเองก็ต้องอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ แซงยูมาหลาย 10 ปีแล้วก็ไม่เคยมีปัญหารุนแรงแบบนี้ขึ้นมาก่อนแต่อย่างใด

 

ขณะที่ทีมข่าวได้พบกับ นายนรินทร์ อายุ 57 ปี สามีของหญิงผู้เสียหาย ได้พาทีมข่าวชี้จุด ที่ภรรยาตนเองถูกผู้ก่อเหตุ เล็งปืนยิงพร้อมชี้ผนังของบ้านที่ปรากฏร่องรอยความเสียหายของกระสุนปืนและคราบเขม่าดินปืน พร้อมกับเปิดเผยกับว่า เหมือนเป็นเรื่องราวปาฏิหาริย์ เพราะปืนดังกล่าวนั้น มีความรุนแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้ แต่แฟนของตนไม่เป็นอะไรมาก ตนยังคงขนลุกและรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

โดยยืนยันบ้านของตนไม่เคยทะเลาะวิวาทใด ๆ กับบ้านผู้ก่อเหตุมาก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยคุยกับผู้ก่อเหตุเป็นปกติดี แต่ก็นานมาแล้ว และไม่เคยยุ่งอะไรกันด้วย จึงไม่เข้าใจว่ามาก่อเหตุครั้งนี้เพื่ออะไร และทุกครั้งที่ตนเองไม่อยู่บ้านผู้ก่อเหตุก็จะมาหาเรื่องภรรยาของตนเองเป็นประจำ แต่หากตนเองอยู่บ้านผู้ก่อเหตุก็ไม่เคยที่จะกล้ามาหาเรื่องภรรยาตนเองแต่อย่างใด

 

พร้อมระบุว่า ตนเองอยู่ที่บ้านหลังนี้มานานกว่า 30 ปีตั้งแต่สร้างหมู่บ้านใหม่ ๆ ส่วนฝั่งผู้ก่อเหตุเพิ่งมาอาศัยอยู่ไม่ถึง 20 กว่าปี อยู่กับลูกเมีย แต่ในวันเกิดเหตุลูกเมียไม่อยู่บ้าน จึงคาดว่านายอี๊ดน่าจะอยู่คนเดียว โดยตนเองสันนิษฐานว่า ชนวนเหตุมาจากการที่ตนต่อเติมด้านข้างของบ้าน ซึ่งเป็นที่ว่างให้เป็นโรงเพาะชำ โดยตนไม่ได้ต่อเติมรุกล้ำไปถึงฝั่งบ้านของผู้ก่อเหตุเลย อยู่บนเส้นกึ่งกลางระหว่างทั้ง 2 บ้าน และต่อเติมมาตั้งแต่อาศัยที่บ้านใหม่ ๆ แล้ว มีเพียงแต่ฝั่งผู้ก่อเหตุที่เคยร้องเรียนตนไปยังสำนักงานเขต 3-4 ครั้ง ล่าสุดก็เมื่อปีที่ผ่านมา แต่ก็สามารถพูดคุยตกลงกันได้ว่า จะต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งกันและกัน แต่เหมือนนายอี๊ดก็ยังไม่จบไม่สิ้น

 

แต่เชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ นายอี๊ดเจตนาจะหวังเอาชีวิตภรรยาของตนเองเพราะดูแล้วลุงอี๊ดมีท่าทางปกติในการเล็งอาวุธปืนมาภรรยาตน ไม่ได้มีท่าทีคลุ้มคลั่ง จึงเชื่อว่ามีเจตนาที่จะฆ่าทราบว่าตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่าและครอบครองอาวุธปืน สิ่งที่เกิดขึ้นตนเองรู้สึกว่าเป็นอันตรายกับคนในชุมชนและเกรงว่าหลังจากนี้อาจจะก่อเหตุกับคนอื่นเมื่อไหร่ก็ได้หากได้รับการปล่อยตัวออกมา

 

สำหรับความเคลื่อนไหวที่ สน.ลาดพร้าว ในเวลา 11:30 น. ทางพนักงานสอบสวนได้นำตัว นายบุญธรรม หรือ ลุงอี๊ด มาจากห้องควบคุมผู้ต้องหาเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำอย่างละเอียด หลังเมื่อคืนที่ผ่านมาทางลุงอี๊ด ไม่ได้เปิดปากถึงปมเหตุที่ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้บาดเจ็บ โดยระหว่างที่ตำรวจคุมตัวลุงอี๊ดออกมานั้น ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามปมที่ลุงอี๊ด ได้ใช้อาวุธปืนลูกซองยิงผู้บาดเจ็บ ซึ่งลุงอี๊ดไม่ได้เปิดเผยถึงสาเหตุอะไร เพียงตอบแค่ว่าถูกด่าก่อนเท่านั้น แม้ผู้สื่อข่าวจะพยายามให้ชี้แจงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

 

แต่สาเหตุที่ลุงอี๊ดยิงไปนั้น ลุงอี๊ดได้เปิดเผยสั้นๆเพียงว่า เป็นเพียงแค่การยิงขู่เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจถึงขั้นเอาชีวิต ส่วนเรื่องที่บอกว่าเป็นปัญหาปมพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้าน และการปลูกต้นไม้ล้ำพื้นที่ ลุงอี๊ดยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องดังกล่าว และก่อนจะเข้าห้องสอบสวน ผู้สื่อข่าวได้ถามว่าลุงอี๊ดอยากจะจะขอโทษทางฝั่งผู้บาดเจ็บหรือไม่ ซึ่งลุงอี๊ดก็ตอบเพียงว่าไม่ต้องการขอโทษ

 

ด้านพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว เปิดเผยข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นจากการสอบปากคำลุงอี๊ด ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุจริง แต่ยังคงปิดปากไม่ยอมบอกถึงสาเหตุแรงจูงใจ อ้างว่าจะให้การในชั้นศาล โดยทางพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา 3 ข้อหา ได้แก่ พยายามฆ่า พกพาอาวุธปืนในที่สาธารณะ และยิงปืนในที่สาธารณะ

 

ซึ่งจากการตรวจสอบอาวุธปืนพบว่า ปืนดังกล่าวเป็นปืนมีทะเบียนและเป็นปืนของลุงอี๊ด ในขณะที่ญาติให้ปากคำระบุว่า ลุงอี๊ดเป็นคนอารมณ์รุนแรง หัวร้อนง่าย และให้การคาดว่า ลุงอี๊ดน่าจะมีปัญหากับเพื่อนบ้านด้านข้าง จึงเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้

 

ทั้งนี้ ญาติได้ยื่นขอประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน แต่ทางพนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัว โดยให้ญาติไปยื่นประกันตัวในชั้นศาล ซึ่งจะเร่งรัดการสอบสวน เพื่อนำตัวส่งฝากขังภายในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า และจะยื่นคัดค้านการประกันตัวในชั้นศาล เพราะเนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีอุฉกรรจ์

เพื่อนบ้านโหดควงลูกซองยิงแสกหน้า หลวงปู่ทวดช่วยกระสุนไม่เข้า